ไปเที่ยวรัฐกัว (Goa)

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยศรีมีเรื่องมาเล่า คือเมื่อกลางๆเดือนมกราคม พลอยศรีไปเที่ยวรัฐกัวที่อินเดียมา แต่เพิ่งมีอารมณ์มาเล่าเรื่องราว

เป็นธรรมดาเนาะ คนเราบางครั้งก็มีบ้างที่ขี้เกียจ เบื่อ ล้า หรือ ไฟมอด แต่ก็เป็นธรรมดาอีกนั่นแหละที่ไม่มีอะไรอยู่ยาวตลอดไป เบื่อก็หยุดไปหาอย่างอื่นทำเดี๋ยวก็หายเบื่อ ล้าก็พักเดี๋ยวก็หายล้าไปเอง และวันนี้ทุกอย่างก็กลับมาสดชื่น อยากบอกเล่าเรื่องราวแล้ว ก็เลยเป็นที่มาของการเปิดบันทึกนี้แหละค่ะ คริคริ

เอาหละ ก่อนอื่นเราไปทำความรู้จักรัฐกัวกันสักนิดก่อน พลอยศรีก็หาอ่านมาจากอินเทอร์เน็ต วิกิพีเดีย และแผ่นความรู้ที่วางไว้ให้ที่โรงแรม พอรู้คร่าวๆก็ประมาณว่า

กัว เป็นรัฐเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นเมืองชายทะเลที่เคยเป็นสถานที่ของการติดต่อค้าขายของชาวต่างชาติแห่งแรกที่เดินทางทางเรือมาที่อินเดีย ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแต่เคยเป็นเมืองหลวงของอาณานิคมโปรตุเกสในอินเดีย ปัจจุบันนี้ก็มีสถาปัตยกรรมหลายอย่างที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก หรือมรดกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก้ อย่างเช่น โบสถ์ วิหาร และ คอนแวนต์ ต่างๆ

ถ้าใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเชิญหาอ่านได้เลยค่ะ พลอยศรีก็อ่านมาจากหลายๆแห่งก็จะประมาณนี้แหละ แต่เหตุผลของการไปเที่ยวกัวของพลอยศรีคือ มาจากการอ่านหนังสือเล่มนี้เลย THE IVORY THRONE ผู้เขียน คือ MANU S. PILAI

เป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของรัฐเกรละ (พลอยศรีเป็นสะใภ้รัฐเกรละ ก็อยากรู้จักความเกรละให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้อยู่บ้านเมืองเค้าอย่างเข้าใจ และหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างมีความสุข พลอยศรีเชื่อว่า ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าเรารู้เขา เข้าใจเขา อย่างที่เค้ารู้เค้าเป็น เราจะไม่มีอคติใดๆ หนังสือเล่มนี้บอกเล่าประวัติศาตร์ความเป็นเกรละได้ดีมากค่ะ อ่านเป็นเดือนเลยกว่าจะจบ)

หนังสือบอกเล่าถึงเส้นทางการค้าขายเครื่องเทศ และการเข้ามาของศาสนาคริสเตียน ทีนี้เรื่องราวเค้าก็เริ่มที่ Vasco da Gama นักสำรวจชาวโปรตุเกส เหยียบเท้าลงที่แผ่นดินเกรละ

แต่ก่อนที่เค้าจะมาถึงเกรละ เค้าขึ้นฝั่งที่แถวๆ Calicut ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการอินเดียของโปรตุเกสที่เมืองกัว หลังจากนั้นเมืองกัว ก็มีเมืองชื่อ Vasco เกิดขึ้นโดยตั้งตามชื่อนักสำรวจ หลายสิ่งปลูกสร้างใช้ชื่อว่า Vasco เป็นการเรียกสั้นๆแทน Vasco da Gama ไม่ว่าจะเป็นตลาดเทศบาล หอนาฬิกา ฯลฯ

ผู้ชายของพลอยศรีเป็นคนรัฐเกรละ อยู่เมืองโคชิ ทีนี้ วาสโค ดา กามา นั้นมาเหยียบแผ่นดินรัฐเกรละ โดยขึ้นแผ่นดินอินเดีย และปักหลักที่เมืองกัว และเค้าก็มาเสียชีวิตที่เมืองโคชิ รัฐเกรละ เมืองที่เราขับรถวิ่งวนเวียนมาหลายปี

เนี่ยแหละคือ จุดเริ่มต้นที่พลอยศรีอยากเดินทางไปตามรอย คือมันก็ไม่มีอะไรหรอก คนเรามีความชอบไม่เหมือนกันเนาะ พลอยศรีชอบเรื่องราวที่ออกแนวประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้อินแบบแนบแน่นจนต้องหาข้อมูลแน่นแฟ้นลงลึกห้าเมตรสิบเมตรอะไรแบบนั้น

แต่ชอบแบบว่าพออ่านอะไรและชอบที่จะรู้ที่มาที่ไป ชอบที่จะจินตนาการภาพในหัวตามที่เราอ่าน มันไม่เหมือนกับการดูรายการ ที่มันเห็นภาพถ่ายที่เค้าพยายามป้อนเราว่ามันเป็นแบบนี้ ทำให้เกิดภาพจำแบบนั้น

และนี่ก็คือคร่าวๆของการไปกัว

เริ่มมาจากอยากรู้ว่ากัวอยู่ไหน กัวเป็นอย่างไร วาสโค ดา กามา อยู่ไหน ชายหาดที่เป็นเมืองท่า เมืองชายฝั่งสมัยก่อนเป็นอย่างไร แม่น้ำมันดาวีอยู่ตรงไหน เมืองนี้เคยถูกปกครองโดยโปรตุเกส ตอนนี้เป็นอิสระแล้ว เหลือร่องรอยอารยธรรมอะไรทิ้งไว้บ้าง บ้านเรือนเป็นอย่างไร ผู้คนเป็นอย่างไร อาหารที่ผสมผสานระหว่างอินเดียและโปรตุเกสเป็นอย่างไร ภาษาที่เค้าใช้ส่วนใหญ่คือภาษาคองกานี เค้ามีลักษณะน้ำเสียงเป็นอย่างไร คือชอบดูชอบรู้อะไรแบบนี้ แต่ไม่ลึก ฮาฮา แค่รู้เห็นแล้วมีความสุข

เอาหละรู้เหตุผลการไปแล้วทีนี้ก็มาเดินทางกันดีกว่า ครั้งนี้พลอยศรีเดินทางไปอินเดียอยู่เมืองโคชิ บ้านผู้ชาย ทำธุระอะไรเสร็จเราก็นั่งรถไฟไปเมืองกัวกัน จริงๆเราสามารถนั่งเครื่องบินได้ใช้เวลาสองชั่วโมงก็ถึง แต่พลอยศรีอยากลองนั่งรถไฟในเกรละบ้าง คือก็นั่งมาหลายที่แล้วแต่ยังไม่เคยนั่งในรัฐเกรละเลย อยากเห็นเมืองให้ทั่วๆ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่รีบ เพราะการท่องเที่ยวของพลอยศรีไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง แต่พลอยศรีชอบเรื่องราวระหว่างทางมากกว่า

ก็เป็นไปตามนั้น ผู้ชายจองตั๋วรถไฟตู้นอน ตู้แอร์ นั่งสบายนอนก็ได้ มีหน้าต่างให้ชมวิวกว้างขวาง ใช้เวลาเดินทางสิบสองชั่วโมงถ้วนบนรถไฟ เราต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสาม เตรียมตัวเพื่อออกจากบ้านตอนตีสีและขึ้นรถไฟตอนตีห้า บ้านเราอยู่ห่างสถานีรถไฟแค่เพียงยี่สิบนาทีแต่เราไม่เคยเดินทางด้วยรถไฟเลย ตลกจัง ครั้งนี้ครั้งแรกดีใจมาก

เรามาถึงสถานีตอนตีสี่ครึ่ง สำรวจชานชลาและก็เดินไปหาซื้อกาแฟมาดื่ม ผู้ชายของพลอยศรีก็สำรวจไปทั่วสถานี และก็เดินกลับมาหน้าเศร้าๆว่าน่าเสียดายเดี๋ยวนี้ไม่มีร้านขายหนังสือแล้ว เพราะคนไม่ค่อยอ่านหนังสือเล่มกัน ผู้ชายชอบอ่านพลอยศรีก็ชอบหนังสือ เวลาไปไหนสายตาเราเลยสอดส่ายกับของพวกนี้เป็นอย่างมาก ซื้อหรือไม่ซื้อแต่แค่ได้เห็นมันก็เป็นความสุขเล็กๆ อิอิ

หลังจากสำรวจเดินไปเดินมาก็ใกล้เวลารถมา เราก็ยืนรอ เห็นตารางป้ายไฟดิจิตอลวิ่งตลอด ว่าขบวนไหนจะเข้าจะออก รถไฟมาตรงเวลาเป๊ะ และก็จอดแค่เพียงห้านาทีเราต้องยืนรอให้ถูกตู้ จะได้ไม่เสียเวลาไปวิ่งหา

คือรถไฟขบวนยาวเป็นกิโลเลย ก็วิ่งจากเมืองทิวานดรัมไปมุมใบ เค้าบอกว่าขบวนนี้วิ่งสองวันถึง ที่ยาวคือมีทั้งชั้นประหยัดแออัดเปิดหน้าต่าง มาถึงชั้นนั่งแอร์ ชั้นนอนพัดลม ชั้นนอนแอร์ คือ หลายชั้นมาก มันเลยยาว เราต้องรอให้ถูกช่องของเรา เค้าจะเขียนเอาไว้ในตั๋วว่าตู้เราอยู่ต้นเสาที่เท่าไหร่ ต้องตรวจหมายเลขรถ หมายเลขเสาให้แม่นยำ เพราะรถไม่รอจริงๆ

ได้กาแฟมาแล้วแก้วละสิบรูปี (ประมาณสี่บาท ห้าบาท) รู้สึกว่า สุดยอด ถูกจัง เราชอบอะไรแบบนี้อ่ะ อะไรที่คนท้องถิ่นเค้าเอ็นจอยเราก็อยากลอง แต่จิบไป ขออภัย มันจืดมาก เหมือนดื่มน้ำผสมหางนมและผสมกาแฟนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรสิบรูปีจะเอาอะไร เดี่ยวขึ้นรถไฟค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้ดื่มเรียกตื่นก่อน ฮาฮา

พอรถมาเราก็เดินขึ้นไปตามที่เล่า คือ รถจอดตรงเสาเป๊ะ รถยาวมากจนคิดว่าใช่รึเปล่านะ เสียงผู้คนถามกันให้แซดว่าใช่ขบวนนี้ตู้นี้ไหม เราก็ถามเค้าบ้าง ฮาฮา สนุกดี พอเค้าบอกใช่ๆ เราก็เดินหาที่นั่ง สักพักก็หลับค่ะ มันยังมืดอยู่เนาะ ก็นอนหลับตา ตื่นมาอีกที อ้าวดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว รถจอดที่ไหนสักแห่ง ยกโทรศัพท์ขึ้นมาแชะไว้หนึ่งภาพ และก็ทำการพับเตียงมานั่งชมวิว

ระหว่างทางก็เห็นวิวสวยมากๆ เป็นสิบสองชั่วโมงที่ไม่น่าเบื่อเลย ตื่นตาตื่นใจมาก บางครั้งก็วิ่งผ่านทุ่งนาที่มีต้นข้าวเขียวขจี บางทีก็ผ่านทุ่งนาที่เค้าเก็บเกี่ยวหมดแล้วและมีรถจักรกำลังม้วนฟางเป็นก้อนๆสีทอง วางอยู่ทั่วไปอย่างกระจัดกระจายแต่ดูงามตา บางทีก็ผ่านทุ่งนาที่กำลังไถพรวนดิน วัวควายยืนกินหญ้าอยู่ เราเห็นได้ทั่วไป ผู้ชายก็ตื่นเต้นกับวัวควายไปตลอดทาง

หรือบางทีก็วิ่งผ่านภูเขา ผ่านแม่น้ำหลายสิบสาย เห็นคนพายเรือหาปลา เห็นหมู่บ้านชาวประมง หรือเห็นชายทะเลอยู่ไม่ไกลแต่มีต้นไม้บังเราก็ไม่สามารถถ่ายภาพได้ บางที่มีคนกำลังปลูกผักสลับการปลูกข้าว มีบ้านคนเล็กใหญ่หนาแน่นในรัฐเกรละ พอออกจากรัฐเกรละบ้านคนก็บางตาพื้นที่เริ่มแห้งแล้งสีเขียวขจีค่อยๆหายไป ชายทะเลเริ่มทอดแนวเป็นระยะ พอเข้าเขตรัฐกรณาฏกะ ก็จะเป็นเขตภูเขา เขตชายทะเล เพราะติดกับทะเลอาราเบียน

อันที่จริงรัฐกรณาฏกะถ้าเรามาหลังฤดูฝนจะสวยมาก เพราะเราจะได้เห็นน้ำตกมากมายในระหว่างการเดินทาง ตอนนี้ก็จะแห้งแล้งหน่อยๆ

ระหว่างที่รถไฟวิ่งอยู่ในรัฐกรณาฏกะนี้เราก็ผ่านสถานีอูดูปิ (Udupi) ที่สถานีนี้มีคนลงมาก เพราะว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำของรัฐนี้เลย มีวัดและสถานศึกษาหลายแห่งที่เลื่องชื่อ มีวิหารและเทวาลัยหลากหลาย และที่สำคัญที่นี่มีประวัติมีตำนานว่ากาแฟได้ถูกนำมาปลูกในเอเชียแห่งแรกอยู่ที่เมืองนี้ โดยชายคนหนึ่งชื่อ บาบา บูดัน

เขาได้ไปแสวงบุญที่นครเมกกะ และแวะที่Mocha เมืองท่าการส่งออกแห่งแรกของเยเมน เป็นศูนย์กลางกาแฟ เขาไปที่นั่นได้ดื่มกาแฟ และอยากดื่มกาแฟอร่อยๆไปทุกที่ เลยลักลอบนำเมล็ดกาแฟหกเมล็ดมาผูกติดที่ท้องของเขา

หลังจากกลับมาอินเดียเขาก็รออยู่นานจึงทำการปลูกเมล็ดกาแฟบนเทือกเขาแห่งหนึ่ง อยู่มาไม่นานกาแฟก็กระจายไปทั่วและกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของอินเดีย กาแฟอะราบิก้าไมซอร์มีชื่อเสียงมากในเรื่องของรสชาติและกลิ่นที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์จนได้รับรางวัลอะไรสักอย่าง(จำไม่ได้แล้ว) และเท่าที่ทราบรัฐกรณาฏกะเป็นรัฐที่ผลิตกาแฟได้มากกว่าครึ่งของกาแฟทั้งอินเดีย มันน่าตื่นเต้นเนาะ มันเริ่มต้นจากกาแฟแค่หกเมล็ดเอง

พลอยศรีพอเห็นสถานีอูดูปิก็ดีใจมาก ถึงแม้ไม่ได้ลง แต่ก็ดีใจ วีดว๊าดไปตามประสา ฮาฮา อย่างที่บอกชอบอ่าน ถ้าสนใจอะไรก็จะอยากไปรู้ไปเห็นที่นั้นๆ พอได้เห็นแค่ชื่อเมืองก็ดีใจและ มันอยู่ตรงนี้ เห็นแล้ว ผ่านแล้ว ลักษณะภูมิประเทศเป็นแบบนี้เอง คือไม่ต้องใกล้ชิดแต่ก็อินมาก สถานีใหญ่สมเป็นสถานีเมืองท่องเที่ยว และเราก็มองหาคนขายกาแฟ แต่ไม่เจอ ฮาฮา รถจอดแค่สองนาที แต่อยากดื่มกาแฟมาก อดค่ะไม่ทัน

เลยไปอีกสักพักก็ถึงสถานีเบงคลูรู เราสั่งอาหารออนไลน์ไว้จากร้านอาหารแห่งหนึ่งตั้งแต่จองตั๋วรถไฟ เค้าจะมาส่งบนรถไฟด้วยความรวดเร็ว รถจอดแค่สิบนาที แต่เค้าไวมาก พลอยศรีเห็นว่าเค้ามาส่งให้หลายคน

เราคิดกันอยู่ตอนช่วงเช้าว่าเค้าจะลืมไหมนะ คิดไม่ทันเสร็จเค้าก็โทรมายืนยันว่าเรายังต้องการข้าวอยู่ไหม เมนูเดิมใช่ไหม บอกราคาเสร็จสรรพเราต้องเตรียมให้พร้อม พอถึงสถานีเค้ารีบมาส่งเราก็ยื่นเงินให้ด้วยความไว ไม่เห็นเค้านับด้วย ชั่วโมงนี้คือเราเชื่อใจกันล้วนๆ

เราสั่งข้าวผัด ข้าวบริยานี และผัดมันจูเรียน คือเยอะมากๆ กินแค่ครึ่งกล่องก็กินไม่ไหว อร่อยอยู่นะ แต่ให้เยอะแบบอัดแน่นมาก เครื่องเทศหนักๆแต่ก็อร่อยใช้ได้ มาร้อนๆเลยไม่รู้ว่าร้านอยู่ที่ไหน กินข้าวเสร็จสักพักก็มีคนมาเดินขายกาแฟ ขายชา เราก็สั่งมาดื่มสองแก้ว ดูท่าและแก้วเดียวเอาไม่อยู่มันโหลงเหลงเกิน ราคาเดิมสิบรูปี

และพลอยศรีก็มีของกินแห้งๆติดตัวไปด้วยถ้าหิวหรือเหงาปากก็งัดมา อิอิ ช๊อกโกแล๊ต แอปพลิคอต กล้วยตาก มีพร้อม

นั่นนี่ผ่านไปเราก็มาถึงสถานีมัดโกรน (Madgaon)ตอนห้าโมงเย็น ดวงอาทิตย์สาดแสงสีส้มอีกแล้ว กำลังจะลับฟ้า เราเดินลากกระเป๋าไปขึ้นแท็กซี่หน้าสถานี มีตู้ขายตั๋วแท็กซี่อยู่ตู้เล็กๆ แต่รถแท็กซี่จอดอยู่เยอะมาก ผู้คนก็มาต่อคิวซื้อตั๋วกัน สักพักเราก็ได้รถ ต้องนั่งเข้าเมืองเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อไปที่พักชายทะเลที่เราจองไว้

พอมาถึงที่พักก็ว้าวมากๆ คือไม่ได้สวยหรูหราห้าดาวหกดาวอะไร แต่มันก็สะอาดเรียบร้อยดี พลอยศรีชอบ เราก็เก็บกระเป๋าและเราก็พักผ่อนสักพักก็ออกไปเดินหาอะไรกินกัน เริ่มแรกก็เดินชมเมืองยามค่ำคืนก่อน สมกับเป็นเมืองปาร์ตี้จริงๆค่ะ ผับบาร์มากมาย นึกว่าอยู่ที่ภูเก็ตหรือพัทยา ร้านอาหารก็มาก ร้านขายของก็เยอะ เมืองท่องเที่ยวอ่ะเนอะ

มื้อแรกคืนนี้ก็ฉลองกับเมนูขึ้นชื่อที่ของกัวก่อนเลย ชื่อว่า “วินดาลู” รสชาติเผ็ดร้อน และเปรี้ยวนำหวาน คือ อร่อยสมคำร่ำลือ นี่ก็คงนับว่าเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมทางอาหาร หรือมรดกทางอาหารหรือเปล่าที่ชาวโปรตุเกสฝากไว้ เค้าบอกว่า วินดาลูนี่คืออาหารท้องถิ่นของชาวโกรน(คนรัฐกัว)เลยหละ อีกอย่างคือ ไส้กรอกโกรน ทำจากหมูบดผสมเครื่องเทศแล้วยัดใส่ไส้ลมควันกาบมะพร้าว โอ้ยอร่อยมากค่ะ ต้องบอกเลยว่า มิชชั่นคอมพลีสไปแล้วหนึ่งในเรื่องกิน

พลอยศรีสไตล์ถ้าไปที่ไหนก็ต้องขอดื่มเครื่องดื่มของท้องถิ่นหน่อย คืนนี้เบาๆก่อนกับเบียร์สัญชาติอินเดีย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะออกไปหาเฟนิ เฟนิคือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำมาจากผลมะม่วงหิมพานต์ รสชาติดีแต่กลิ่นแรง มีขายที่กัว ส่วนผู้ชายไม่แตะของมึนเมาก็ดื่มน้ำมะนาว น้ำแตงโม น้ำโมจิโต้ ตลอดทริป ฮาฮา

พอกินอาหารเสร็จ เราก็ไปเดินให้ย่อยโดยเดินชมตลาดร้านค้าไปเรื่อยๆ เดินเป็นกิโลเลยมั้งซ้ายขวา ของก็ขายเหมือนๆกัน เสื้อผ้าเครื่องประดับ ผับบาร์ ร้านขายของที่ระลึก และร้านขายเม็ดมะม่วงหิมะพานต์แบบขายเป็นถุงใหญ่ๆห้าโล สิบโล ยี่สิบโลแบบนั้นเลย ร้านทัวร์ ร้านสักรอย ร้านนวดสปาของไทยก็เยอะ เดินไปเรื่อยๆก็แวะซื้อไอติมกินคนละแท่ง

เค้าบอกว่าที่กัวนั้นขึ้นชื่อเรื่องเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นหนึ่งในสินค้าเศรษฐกิจเลย แน่นอนเราก็ซื้อมาเยอะเลยค่ะ เพราะบ้านเราผู้ชายกินเป็นกำมือทุกวัน มาที่นี่มีหลากหลายรสชาติ ประหนึ่งรสต้มยำ รสวาซาบิอะไรทำนองนั้น แต่เค้าก็ทำรสของอินเดียไง มาซาร่า พริกไทย เกลือ บลาๆ

กลับเข้าที่พัก อาบน้ำอุ่นๆสระผมให้หอมสดชื่นแล้วรู้สึกสบายตัว คืนนี้เราก็นอนพักผ่อนได้เสียที แต่แปลกจังนะ ตื่นตั้งแต่ตีสาม เดินทางทั้งวัน และเดินอีกตั้งเยอะตอนหัวค่ำ แต่เรากลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าอะไรเลย อาจเพราะรถไฟนั้นนั่งสบายกว้างขวางก็เป็นได้ และเราก็เดินทางแบบไม่มีใครสวมหน้ากากอนามัยด้วยมั้ง เราก็เลยหายใจสบายไม่ติดขัด

พลอยศรีตื่นแต่เช้าและออกไปเดินชมทะเล ผู้ชายไม่เคยลุกอยู่แล้วถ้ายังไม่แปดโมง ฮาฮา เรานัดกันมาทานอาหารเช้าตอนแปดโมงครึ่ง ช่วงนี้ก็เดินออกไปที่ชายหาด คือ สวยมากๆ ไม่ค่อยมีคนมากนัก หาดโล่งๆ เพราะว่าเป็นหาดหน้าที่พัก ไม่ใช่จุดสาธารณะ แต่ก็เดินเลาะยาวไปถึงจุดสาธารณะได้ พลอยศรีเดินไปและก็เดินกลับ ตรงนั้นคนเยอะมากๆ

พลอยศรีใช้เวลานั่งเล่น เดินเล่นอยู่นานเลย เพราะออกมาตั้งแต่หกโมงเช้า ได้ภาพถ่ายมาสองสามภาพ คือกลัวกลับเข้าที่พักไม่ถูก เลยถ่ายไว้ให้เป็นจุดจำ จากนั้นก็เดินเหมือนออกกำลังกายเลียบหาดฟังเสียงคลื่นไปเรื่อยๆ เต็มอิ่มมากค่ะ และก็คิดถึง วาสโค โด กามาในครั้งอดีต พวกเค้าล่องเรือมา และมองเห็นฝั่งของกัว เค้าก็คงไม่รู้หรอกมั๊งว่าที่นี่ที่ไหน จอดเรือขึ้นฝั่งมา พบผู้คน ทำการค้าแลกเปลี่ยนสิ่งของ เผยแผ่ศาสนา และก็ขยายอณานิคม เข้าครอบครอง ลงหลักปักฐาน ก่อสร้างอาคารต่างๆ

พอสายๆหน่อยพนักงานก็เริ่มมาทำการปูเตียงผ้าใบ เตรียมสถานที่นั่ง เพราะสายๆผู้คนก็จะออกมาเล่นน้ำทะเล หรือชาวต่างชาติก็จะออกมานั่งอาบแดดกัน

คิดว่าช่วงนี้ สวยงามมากๆ เงียบ สงบ รำงับ และได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรหลายๆอย่าง รู้สึกดีใจที่มาถึง ดีใจที่ได้มาเห็นทะเลที่กัว ชายหาดที่ทอดยาวสุดลูกตา ทะเลชายฝั่งอาระเบียน ทะเลที่กัว ทะเลที่ วาสโค ดา กามา ครั้งหนึ่งเคยเดินทางมาพบและได้เชื่อมทวีปอินเดียกับยุโรปเข้าด้วยกันด้วยการเดินเรือ จนเป็นเส้นทางการค้าของเรือสินค้าในปัจจุบัน

ที่กัวมีชายหาดหลายหาดที่ขึ้นชื่อ อย่างเช่น หาดบากา หาดคาลังกูท หาดแคนโดลิม หาดพาโลเร็ม หาดอันจูนา และอื่นๆอีกมาก มีกิจกรรมทางทะเลก็เยอะ แต่จุดประสงค์การมาของพลอยศรีไม่ได้มาเล่นน้ำเนาะ เรามาแค่อยากซึมซับความเป็นกัว อยากจะมาสำรวจร่อยรอยอาณานิคมและดื่มด่ำกับหาดทรายนิดหน่อย มาชิมอาหารท้องถิ่นอะไรแบบนี้

ดังนั้นกิจกรรมของพลอยศรีก็มีไม่มาก แค่อยากไปหาของอร่อยดั้งเดิมรสชาติของชาวโกรน (คนรัฐกัว) อยากมาชิมเฟนิ อยากเห็นรอยอารยธรรมที่ยังหลงเหลือ และมานั่งผ่อนคลายรับลมทะเลตอนเย็นๆก็เพียงพอ คราวนี้จึงเลือกพักที่หาดคาลังกูท อยู่ในกัวเหนือ ที่นี่เค้าบอกว่ามีชื่อเรียกเล่นๆว่า “หาดราชินีแห่งกัว”

พอเดินเล่นได้พักใหญ่ใกล้เวลานัด พลอยศรีก็เดินกลับที่พัก เตรียมตัวไปกินอาหารเช้า และวันนี้เราจะออกไปในตัวเมืองเก่ากัน เพื่อชมโบสถ์และวิหารเก่าแก่ จากนั้นก็ไปหาร้านขนมเก่าแก่อายุหนึ่งร้อยหนึ่งปี เปิดมาถึงปัจจุบันก็รุ่นที่สี่แล้ว ทำขนมสูตรเดิม อบขนมด้วยเตาฟืนทำขายวันต่อวันไม่มีเหลือเก็บ เนี่ยแหละคือเสน่ห์ที่เราตามหา ชอบในความเก่า อิอิ

ขนมที่ขึ้นชื่อดั้งเดิมของกัว คือ บีบินค้า จะมีลักษณะคล้ายๆขนมชั้น แต่เค้าไม่ได้นำไปนึ่ง แต่นำแป้งไปอบต่อๆกันเจ็ดถึงเก้าชั้น อบแป้งจนหน้าไหม้หน่อยๆ และก็เอาออกมาราดน้ำแป้งชั้นต่อไปและก็ส่งเข้าอบไปเรื่อยๆจนครบตามต้องการ โดยแป้งจะสลับกัน จืดหนึ่งชั้นและหวานหนึ่งชั้น ชั้นที่หวานคือแป้งเหมือนชั้นที่จืดแต่ผสมน้ำตาลเคี่ยวลงไป อร่อยนะ

เราสั่งมาหนึ่งชิ้นสำหรับซื้อกลับบ้าน (ชิ้นละครึ่งกิโลกินที่ร้านไม่ไหว อยากชิมหลายอย่าง) ที่พลอยศรีอยากกินมาก คือ รัมบอล ส่วนผู้ชายอยากกินพาย กับแครอทเค้ก เค้าบอกว่าพายที่อบด้วยเตาฟืนอร่อยกว่าพายที่อบด้วยเตาอบ เพราะรสสัมผัสความกรอบมันต่างกัน แครอทเค้กก็อร่อย เค้าอิ่มเอมใจที่ได้กิน ฮาฮา

พูดใหญ่เลยว่ารสชาติแบบนี้เคยกินตอนเด็กๆ ตอนนี้หาไม่เจอแล้ว พลอยศรีเลยแหย่ๆหยอกๆกลับไป แปลว่าเราต้องกลับมาอีกเหรอ ฮาฮา นั่งรถไฟมากินพาย และเค้าก็ตอบกลับมาว่า เราขับรถมาจากบ้านได้นะ ขับมาจากโคชิวันนึงก็ถึง ถ้ามารถไฟต้องมาหาแท็กซี่ให้วุ่นวาย และก็ขำกันสองคน

ส่วนพลอยศรีชอบเที่ยว ขอให้เค้าได้กินให้อิ่มทีนี้เราก็เที่ยวสบายใจ ส่วนตัวกินรัมบอลไปสองลูก คือ ฟินมาก รสรัมหนักๆในเนื้อเค้กที่ผสมผลไม้แห้ง ไม่หวานมาก

เสร็จแล้วก็เดินไปเที่ยวชมบ้านสีสันสดใสที่ฟอนเตเนียส (Fontainhas)ในเมืองปันจิม หรือปณชี ที่ตอนนี้เป็นเมืองหลวงของกัว ที่นั่นยังมีร่องรอยรูปแบบของอินโด-โปรตุเกสให้เห็น ซึ่งก็คือบ้านของชาวอินเดียผสมผสานกับแบบของโปรตุเกส คือชอบอ่ะ บ้านเกือบทุกหลังที่เห็นมีกลิ่นอายของยุโรปอย่างชัดเจน มีสวนสาธารณะ มีโบสถ์คริสต์ และใกล้กันก็มีแม่น้ำที่มีเรือท่องเที่ยว มีเรือคาสิโนจอดอยู่ คาเฟ่เล็กๆก็เยอะ

เราใช้เวลาเดินอยู่ตรงนี้ประมาณสองชั่วโมงได้ ร้อนนะแต่ก็สวย สังเกตว่าบ้านแต่ละหลังจะมีความสูงแค่สองชั้น มีทั้งบ้านเก่า บ้านใหม่ บ้านวิล่าสไตล์โปรตุเกส มองรวมๆเป็นเมืองที่มีเสน่ห์อ่ะมันมีความเป็นโคโลเนียล มีสีสันสดใส น้ำเงิน ขาว เหลือง แดง เป็นบ้านตึกบ้านปูนมีหน้าต่างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมบ้าง หน้าต่างโค้งบ้าง แต่ดูยังไงก็เห็นชัดเจนว่าเป็นบ้านลูกครึ่ง

เสร็จจากปณชีหรือปันจิม เราก็นั่งรถไปอีกที่ นานไหมจำไม่ได้ ไปเที่ยวชมมหาวิหาร Bom Jesus เป็นมรดกโลกที่องค์การยูเนสโก้มอบให้ เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในอินเดีย เราเดินเข้าไปข้างในได้แต่ห้ามถ่ายภาพ อนุญาตให้ถ่ายข้างนอกได้ ก็เลยแชะมาสามภาพ

ข้างในค่อนข้างใหญ่และโอ่โถงสมกับคำว่ามหาวิหาร มีการแกะสลักต้นเสาและใต้โคมหลังคา มีการประดับหิน เป็นสถาปัตยกรรมที่เห็นได้ว่าโชว์ความเป็นโปรตุเกสในยุคล่าอาณานิคมอย่างแท้จริง เค้ากล่าวกันว่า มหาวิหารแห่งนี้คือหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของแหล่งกำเนิดโปรตุเกสเลย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสเตียนนิกายคาทอลิก และยังเป็นสถานที่เก็บศพของนักบุญฟรานซิส เซเฟียร์ ไว้ที่นี่ด้วย

จากประวัติศาสตร์คือโปรตุเกสได้เข้ามาทำการค้าที่อินเดียและมีฐานที่มั่นอยู่ที่กัว ก็ได้นำพาศิลปะวัฒนธรรมและวิทยาการจากชาติตะวันตกเข้ามา หนึ่งในนั้นคือ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และได้มีการสร้างโบสถ์ วิหาร และคอนแวนต์มากมายในเมืองนี้ และสังเกตว่ามันก็จริงนะ เรานั่งรถไปทางไหนเราก็จะเจอโบสถ์คริตส์อยู่ทั่วไป กลางวันก็เห็นสีขาวเด่นตระหง่าน กลางคืนก็ติดไฟสวยงาม

ยืนมองจากภายนอกมหาวิหาร รับรู้ได้ถึงความเก่าแก่ เพราะเค้าไม่ได้ฉาบปูนทาสีทำให้ดูใหม่สวยงาม สดใสสะอาดตาเหมือนที่อื่น พลอยศรีชอบนะ ชอบในความเก่าดูขลังดี ชอบที่จะยืนอยู่ตรงนั้นและก็จินตนาการอะไรไปเรื่อย

อารมณ์แบบย้อนมองอดีต ดูปัจจุบัน ว่าตึกนี้มีอายุยาวนานกว่าสี่ร้อยปีนะอะไรทำนองนี้ ในช่วงร้อยปีต้นๆ สภาพโดยรอบคงไม่เป็นแบบนี้ ตึกนี้คงใหญ่โตมากในสมัยนั้น และมีความสวยงามเป็นอย่างมาก มีการผสมผสานระหว่างศิลปะของชาติตะวันตกผสมกับชาติตะวันออกอันทรงคุณค่าจนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

อ่านประวัติคร่าวๆมาว่านักบุญฟรานซิส คือผู้ก่อตั้งสมาคมพระเยซู ตอนที่เค้าเสียชีวิตนั้นได้มีการนำร่างไปที่โปรตุเกสมะละกา ประเทศมาเลเซีย หลังจากนั้นประมาณสองปีก็ถูกนำกลับมาที่มหาวิหารแห่งนี้ เค้าเชื่อกันว่านักบุญฟรานซิสนั้นมีพลังวิเศษที่สามารถรักษาคนเจ็บไข้ได้ โดยจะนำร่างออกมาให้ประชาชนได้เห็นในทุกๆสิบปี และผู้คนก็จะเดินกันมาจากทั่วโลกเลย

พลอยศรีอยู่มาเลเซียเคยไปมะละกา ตื่นเต้นอีกและ ทุกอย่างมันเกิดการเชื่อมต่อกันอ่ะ

หลังจากนั้นก็เดินข้ามถนนไปชมอสนวิหารเซ ก็สวยดีเป็นวิหารสีขาวมีพื้นที่กว้างใหญ่ เราเดินชมกันอยู่สักพักก็ออก และก็เดินไปหาอะไรกินกัน เนื่องจากมาตอนกลางวันก็จะร้อนหน่อย พลอยศรีก็สั่งน้ำอัดลมสัญชาติอินเดียทันที ชื่อทัมอัพ มันคือ โค้กอินเดีย และอีกขวดคือสไลซ์ เป็นน้ำมะม่วง อร่อยมาก เป็นน้ำมะม่วงจริงๆอ่ะ ตอนแรกคิดว่าเป็นน้ำอัดลมรสมะม่วงนะ ดื่มเย็นๆชื่นใจมาก

ดื่มน้ำเย็นๆเสร็จเราก็เดินมุ่งหน้าไปตามถนนขึ้นไปทางไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าถนนมันดูสวยดีนะ ดูร่มรื่นและก็มีแม่น้ำ มันไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวหรอก มันเป็นอู่ต่อเรืออะไรสักอย่าง แต่เราอยากออกไปนอกเส้นทางไง ก็เดินไปน่าจะสักประมาณกิโลนึงได้ เราเห็นทางเดินลงไปชายแม่น้ำก็เลยลงไป สวยจริงๆแหละ เงียบดี

ยืนอยู่สักพักก็เดินกลับมาที่มหาวิหารอีกครั้ง เพราะเราให้รถแท็กซี่รออยู่ที่นั่น จริงๆอยากโทรเรียกแท็กซี่มารับนะแต่คิดว่า ขี้เกียจอธิบายว่าอยู่ตรงไหน เดินกลับไปแหละ แค่กิโลเดียว แป๊บเดียว อีกอย่างภายใต้ร่มไม้ไม่ร้อนอะไร เราก็เดินคุยกันไป สวยเนาะ สวยเนอะ สงบดีนะ บลาๆ ชอบอ่ะ ส่วนผู้ชายก็จะมีเรื่องเล่าไปเรื่อย ฮาฮา

เราเหมาแท็กซี่ทั้งวัน เค้าคิดเราสี่พันรูปี แต่เราเดินซะมาก เดินออกนอกเส้นทางไปเรื่อย แต่ก็ไม่อยากเสียเวลามาคอยโบกคอยหาต่อราคาให้ปวดหัว เหมาแล้วก็จบ เราไม่ต้องคิดว่าคุ้มหรือไม่คุ้มเอาความสะดวกไว้ก่อน แท็กซี่นอนหลับรอเลย ขำอ่ะ

ตอนนี้ก็น่าจะสักสามโมงเย็นแล้ว เรามีนัดกับรุ่นพี่ผู้ชายสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ทราบจากเพื่อนๆว่าเค้าทำงานที่นี่ไม่ได้พบกันมายี่สิบกว่าปีได้ ไหนๆมีโอกาสได้มากัว ก็เลยนัดพบกัน เราก็ต้องให้แท็กซี่ขับไป ประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ และที่เค้าอยู่ คือที่พลอยศรีอยากมาแต่แรกคือ วาสโค ดา กามา จุดเริ่มต้นของทริปกัว งานนี้เลยไม่เสียเวลา เพราะยังไงพลอยศรีก็จะต้องไปให้ถึงวาสโค ดา กามาอยู่แล้ว

ระหว่างขับรถไป คือ ถนนหนทางสวยมาก เลาะเรียบชายหาดวาสโค แต่ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรเพราะนั่งในรถ และก็เข้าเมือง ชมเมืองรอบนึง คือเรานัดเค้าห้าโมงเย็น เรายังมีเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้พลอยศรีให้แท็กซี่วิ่งไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมายและก็วนกลับมาหอนาฬิกา เพื่อตั้งจีพิเอสไปบ้านรุ่นพี่ มิชชั่นคอมพลีสจริงๆ อิ่มเอมมาก

พอใกล้เวลาก็วิ่งไปบ้านรุ่นพี่ เค้าเป็นผู้หญิงอายุน่าจะสี่สิบปลายๆ เพิ่งจะกลับมาจากทำงาน เราก็ทักทายกันด้วยความกระดี้กระด้า เค้าบอกว่าได้ยินชื่อพลอยศรีมานานแล้วว่าเป็นสาวไทยจากกลุ่มแก็งส์สมาชิกรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบัน (ครอบครัวสำคัญ ใครแต่งงานกับไครทำอะไรอยู่ที่ไหน ฮาฮา)

วันนี้ได้พบกัน เราคุยกันสนุกมาก พลอยศรีมีทุเรียนทอดจากไทยไปฝาก เค้าส่งข้อความตามมาว่าอร่อยมาก เคยกินทุเรียนสุกที่ภูเก็ตสู้กลิ่นไม่ไหวเลย คราวนี้อร่อยจัง พลอยศรีก็ดีใจหน้าแป้น รีบเชิญเค้ามาบ้าน และสั่งน้องสาวให้ซื้อทุเรียนทอดมาฝากอีก เผื่อปลายมีนาโรงเรียนปิดเทอมเค้าอาจจะพาลูกมาเที่ยวมาเลย์

มัดมือเชิญไว้แล้ว ฮาฮา คุยกันแล้วถูกใจ ถ้าไม่ถูกใจจะแค่ “ดีใจที่ได้พบกัน” และจบแยกย้าย ฮาฮา

ใช้เวลาที่บ้านรุ่นพี่สักชั่วโมงนึงก็กลับมาที่พัก เดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงได้ จากวาสโค ดา กามา มาที่หาดคาลังกูท ก็ถือว่ามิชชั่นคอมพลีสไปอีกหนึ่ง คือพลอยศรีได้ไปชมในสิ่งที่พลอยศรีต้องการ และผู้ชายก็ได้เบรคไปพบรุ่นพี่ที่เค้ารู้จัก ถือว่าการมากัวครั้งนี้คอมพลีสแทบทุกอย่างแล้ว

แต่มันก็ยังไม่หมดตามที่ต้องการ นั่นคือ ต้องไปหาซื้อเหล้าเฟนิค่ะ

เหล้าเฟนิ มีขายอยู่ที่กัว ผลิตมาจากการหมัก การกลั่นผลมะม่วงหิมพานต์ และที่น่าตื่นเต้นคือ มะม่วงหิมะพานต์นี้ ชาวโปรตุเกสเป็นผู้นำเข้ามาในกัว และแผ่ขยายไปที่อื่น คือมันคือพืชต่างถิ่นนะนี่ ดีใจที่ได้รู้ เจ้าเฟนินี่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงประมาณ 42-45% เปิดขวดออกมากลิ่นคือ เนื้อของผลมะม่วงหิมพานต์จริงๆเลย ตอนเด็กๆชอบไปเก็บมาจิ้มเกลือกิน ลูกสีเหลืองๆส้มๆ อร่อยดีนะ ชาวกัวกล่าวว่า เฟนิเปรียบเสมือนหนึ่งในวัฒนธรรมเครื่องดื่มของกัว

เราดื่มเฟนิเปล่าๆก็ได้ หรือจะผสมน้ำส้ม น้ำมะนาว น้ำโซดา น้ำสไปร์ น้ำโค๊กได้หมด พลอยศรีชอบแบบใส่น้ำแข็งเย็นๆนิดหน่อยพอไม่ต้องผสมอะไร บางคนก็ผสมน้ำเชื่อมเพิ่มความหวาน แต่พลอยศรีชอบความดั้งเดิม ดิ่มไม่เยอะ แก้วนึงก็สุขใจที่ได้ชิม ราคาก็ไม่แพงคิดเป็นเงินไทยขวดนึงห้าหกร้อยบาทเองแต่เราไม่สามารถหอบหิ้วได้ไง ก็เลยต้องได้แค่อย่างละสองขวด เอามาดื่มเองสองขวดและเป็นของฝากเพื่อนผู้ชายสองขวด

ตอนนี้มิชชั่นคอมพลีสแบบสุดๆแล้วค่ะ ได้กินอาหารที่อยากจะกิน ได้กินขนมที่อยากจะกิน ได้ไปเห็นสถานที่ๆอยากจะเห็น ได้พบเพื่อน ได้ซื้อเฟนิ ได้ชมชายหาดยามเช้า ยามเย็น และตอนนี้เราก็ชวนกันไปนั่งรับลมทะเลชมชายหาดยามค่ำคืน

พรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางกลับ เรามาพักที่กัวสองคืน ให้พลอยศรีได้ตามรอยหนังสือ จากนั้นเรามีทริปต่อไปพบเพื่อนที่เดลี อันนี้เป็นความต้องการของผู้ชาย พลอยศรีก็ต้องแบ่งปัน ฮาฮา เราเที่ยวแล้วสุขแล้วก็ต้องให้เค้ามั่งเนาะ

คืนนี้เลยขอไปนั่งชิลๆดื่มและกินอาหารที่ชายหาด ภาพชายหาดพตอนเช้าเราจะไม่เห็นไฟที่เค้าประดับ แต่พอค่ำๆเค้าเปิดไฟ เปิดเพลง มันคือดีย์มากคร้า ซึ่งคืนก่อนหน้าเราออกไปสถานที่บันเทิงด้านนอกแหล่งถนนคนเดินก็จะพลุกพล่านหน่อย คืนนี้เราขอนั่งชิลแบบฟังเสียงคลื่นจิบเบียร์เย็นๆ ผสมเพลงแขกที่ดังเป็นระยะๆ คือพอใจแล้วแค่นี้ ได้พักผ่อนแล้วอ่ะ

พลอยศรีสั่งอาหารไม่เยอะ ขอแค่กรุบกริบ เพราะมีเบียร์ขวดยักษ์ที่ดื่มอยู่คนเดียว มีมันฝรั่งทอดมาแกล้มจานนึง ผู้ชายก็มีแกง มีนาน(แป้งย่างทาเนย)และมีของทอดที่เค้าชอบ มีเครื่องดื่มคือน้ำโมจิโต้ น่ารัก ฮาฮา ไม่แตะแอลกอฮอล์จริงๆค่ะ

ขอบคุณที่เค้าตามใจพลอยศรีไม่คัดค้าน ไม่ห้ามปราม ไม่บ่น เค้ารู้ว่าพลอยศรีไม่ใช่มนุษย์ดื่มเอาเมา ดื่มเป็นนิสัย หรือเป็นคนติดแอลกอออล์แบบต้องดื่มทุกวัน แต่พลอยศรีเป็นคนติดบรรยากาศ ชอบบรรยากาศในวงสุรา ชอบการสนทนา ชอบสภาพแวดล้อม และชอบดื่มตอนพักผ่อน

ถ้ามีบ่นก็เรื่องเดียวคือทุกเช้าเวลาไปทานอาหารเช้าจะชอบสั่งไข่ดาวไม่สุก หรือไข่ลวก เค้าก็จะบ่นว่ามันดิบนะเธอ ส่วนตัวเค้าคือ กินได้สองอย่าง ไข่ต้มแบบไข่แดงแข็งๆกับไข่เจียวแบบสุกแห้งๆ จะมาอ่อนนุ่มย้วยๆ สีส้มสวยๆนี่ไม่ได้เลย พลอยศรีก็ตรงข้ามเลยค่ะ แต่เราก็อยู่กันได้ไม่ถือเป็นอารมณ์ คริคริ เค้าก็รู้เราชอบกิน เราก็รู้เค้าแค่บ่นเบาๆได้แค่นี้แหละ “มันไม่สุก ไม่ดีนะเธอ” จบแค่นั้น สองประโยค ฮาฮา

เรากินข้าวนั่งฟังเพลงกันสักพักก็กลับเข้าที่พัก เดินคุยกันมานั่นนี่ ผู้ชายก็บอกว่าอยากจะกินไอติมแบบเมื่อคืน เอ้ากินก็กิน พากันเดินออกไปอีกประมาณกิโลนึง มาถึงห้องก็ประมาณสามทุ่มนิดๆ พลอยศรีก็อาบน้ำนอนเลย ไม่พูด ไม่สนทนาแล้ว พรุ่งนี้ต้องรีบตื่นแต่เช้า เรานัดรถมารับตอนหกโมงครึ่ง

ระหว่างทางไปสนามบินคือ เงียบๆเพราะยังเช้าอยู่ ถนนยังโล่งๆ ออกไปนอกเมืองคือก็สวยงามเป็นแหล่งๆ ถนนที่กัวนี่ต้องยกนิ้วให้เลย ถนนดีมาก สามเลน สี่เลน กว้างขวาง และก็มีพื้นที่ทุ่งราบที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็เยอะ กำลังก่อสร้างไม่หยุดหย่อนก็เยอะ พลอยศรีคิดว่าอีกห้าปี กัวคงวุ่นวายอีกนิด อีกสิบปีกัวคงวุ่นวายอีกหน่อย ธุรกิจและความเจริญเข้ามาทุกวัน นักท่องเที่ยวก็พากันหลั่งไหลเข้ามา เพราะเค้าโปรโมตให้กัวเป็นไข่มุกแห่งอาระเบียน พวกนักท่องเที่ยวจากยุโรปและรัสเซียค่อนข้างเยอะ

วันนี้พลอยศรีจะเดินทางต่อไปเดลี ใช้บริการสนามบินชื่อว่า โมปา (Mopa) เป็นสนามบินแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดได้เพียงแค่สองเดือน อะไรๆก็ยังใหม่อยู่ พลอยศรีไปเห็นคือ ตื่นตาตื่นใจอีกแล้ว มันสวยงามมาก สะอาดสะอ้านไม่ใช่เพราะว่ามันยังใหม่ แต่สะอาดเพราะเค้าวางระบบดีมาก ทุกอย่างแทบจะเป็นดิจิตอล บริการตนเอง ร้านค้า ร้านอาหารและเครื่องดื่มมีพอสมควร ไม่มากไม่น้อยแต่เพียงพอ ใดๆคือชอบมากๆชอบในความใหญ่แต่ไม่วกวนไม่ต้องกลัวหลง

ชอบรูปแบบการตกแต่งสนามบิน เค้ารู้ว่าจุดแข็งของเค้าคือ ความเป็นอินโดโปรตุเกส เค้าก็เอามาตกแต่งเป็นธีมเลย ภาพวาดฝาผนังและกำแพงต่างๆทำเป็นบ้านเรือนสีสดใส เป็นป้ายบอกทางเป็นร้านค้า คือมันแจ่มใสอ่ะ มันให้อารมณ์ของความสนุก

พลอยศรีได้กาแฟอะเมริกาโนเย็นเข้าไปก็สดชื่นปลุกตื่นมากๆ ตั้งแต่ขึ้นรถไฟมา นี่เป็นกาแฟแก้วแรกที่ถูกใจ คือเมื่อก่อนก็ชอบคาปูชิโน่ ซึ่งเป็นกาแฟใส่นม อยู่ที่อินเดียดื่มกาแฟใส่นมที่ไหนก็อร่อยเพราะเค้าดื่มกันทั่วไป มาช่วงสองสามปีหลังพลอยศรีหันมาดื่มอะเมริกาโน่ หรือกาแฟดำ กินที่ไหนก็ไม่อร่อย ถ้าไม่ใช่คาเฟ่กาแฟสด หรือที่ในบ้าน (ในบ้านเราควบคุมได้ )

เจอเจ้านี้คือต้องยอมเค้า ไม่ได้ติดยี่ห้อ แต่ของเค้าตอบโจทย์เรา ทั้งรส ทั้งกลิ่น และความเข้มข้น พลอยศรีชอบในความเป็นสากล อะเมริกาโนเย็นเพิ่มช๊อต จ่ายแล้วเราไม่ต้องลุ้น เพราะทั่วโลกรสชาติเดียวกัน ขอบคุณผู้ชายอีกเช่นกัน ที่เค้าเข้าใจว่าเราต้องการอะไรและไม่เคยขัดข้อง เพราะเค้ารู้ว่าพลอยศรีไม่ใช่คนฟุ่มเฟือย หรือฟุ้งเฟ้อ หรือติดยี่ห้อ เราแค่ต้องการกาแฟอร่อยๆสักแก้วเท่านั้นเอง

และก็ปิดท้ายค่ะ เตรียมตัวขึ้นเครื่องบิน ใช้สายการบินท้องถิ่นอินดิโก้ เราต้องบินไปเดลี ซึ่งจากกัวใช้เวลาเดินทางสามชั่วโมงกว่าๆ ไกลมาก บินภายในประเทศนะนี่ บินจากภาคตะวันตกไปตอนเหนือของประเทศ ถ้านั่งรถไฟคงจะหลายวัน ฮาฮา พลอยศรีขึ้นเครื่อง เก็บสัมภาระก็หลับตาเลย พักผ่อน ไปตื่นอีกทีเหมือนได้ยินเสียงประกาศว่าเครื่องจะลงจอดแล้ว ลืมผู้ชายเลย ขำจัง

อ้อลืม การเดินทางวันนี้เจ้าหน้าที่ทั้งลำเป็นผู้หญิงหมดเลยตั้งแต่กับตัน และนักบิน ผู้ช่วย และลูกเรือ ได้ยินเค้าประกาศชื่อเสร็จ ผู้ชายหันมาบอกว่าวันนี้ทั้งลำถูกควบคุมโดยผู้หญิง เราก็ยิ้มให้กันและชื่นชม เก่งอ่ะ เราจะมีโอกาสกี่ครั้งนะที่ได้นั่งเครื่องบินที่ทั้งลำมีแต่ผู้หญิง หลายๆครั้งพลอยศรีเจอนักบินที่เป็นผู้หญิงแต่เราก็ยังมีลูกเรือที่เป็นผู้ชายให้เห็น ครั้งนี้คือร้อยเปอร์เซ็นต์

พลอยศรีชอบทุกอย่างของการเดินทางเลย บางทีมันไม่ต้องมีอะไรมากมาย ไม่ต้องไปไหนจุดไฮไลท์เยะแยะ แค่รู้ว่าเราต้องการอะไร และไปหามัน จากนั้นก็หาที่กินอาหารอร่อยๆกับเหล้าเบียร์สักแก้วก็พอแล้ว เหมือนคำที่เค้าพูดกันว่า “With good food and wine, Everything is fine. พลอยศรีเห็นด้วยค่ะ

จบกับทริปกัว สนุกมากๆ สนุกกับการเดินทาง สนุกกับการนั่งชมวิวริมทางรถไฟ สนุกกับการได้ออกไปเรียนรู้สิ่งที่เราชอบ สนุกกับการออกไปตามหาของอร่อยๆกิน และสนุกกับการได้ไปพบรุ่นพี่ที่คุยด้วยแล้วรู้สึกดีใจที่ผู้ชายพามาแนะนำ สนุกหมดทุกอย่างเลย

และทุกๆการเดินทางกับคนที่เรารักเราจะรักกันมากขึ้นเพราะเราได้เรียนรู้นิสัยต่างๆของกันและกันมากขึ้น เราจะรู้ว่าเค้าห่วง เค้าปล่อย เค้าตามใจ ใส่ใจเรามากเท่าไหน เพราะตอนนี้เราอยู่นอกคอมฟอทโซน เราก็จะรู้ว่าเรามีอิสระมากน้อยอย่างไร

พลอยศรีชอบมาก และขอบคุณทุกอย่างเลย ขอบคุณที่ตามใจ ขอบคุณที่พามา ทั้งๆที่ไม่ได้ขืนใจบังคับกัน แค่พูดเอาไว้ว่า อยากไปกัว อยากนั่งรถไฟเที่ยว ขอบคุณที่รู้ว่าเค้าก็ไม่ค่อยได้ชอบสักเท่าไหร่หรอกอะไรที่ไม่สบาย ออกไปเดินร้อนๆ แต่ก็ไม่ขัดข้อง สุขใจ ยิ้มกว้าง สวัสดีค่ะ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s