วันนี้คิดเมนูง่ายๆ อยากกินอะไรที่เบาๆท้อง และราดข้าว อาหารจานเดียวในแบบฉบับพลอยศรีสไตล์ จึงจัดไปกับเมนูเต้าหู้ผัดผัก
พลอยศรีชอบที่จะทำอะไรง่ายๆ กินแค่มื้อเดียว หรือเต็มที่สองมื้อ คือ กลางวันกับเย็น แต่ค่อนข้างน้อยมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นจานเดียว มื้อเดียวเป็นหลัก ฟังๆดูก็เหมือนจะวุ่นวายแท้ ที่วันๆต้องยุ่งอยู่กับการทำอาหารกลางวัน อาหารเย็น อาหารผู้ชาย ทำไมถึงไม่ทำทีเดียว หรือกินเหมือนๆกันไปเลยจะได้สบาย หลายๆคนมักบอกหรือถามเหมือนกัน
แต่ส่วนตัวแล้ว ไม่เคยรู้สึกว่าลำบากหรือวุ่นวายเลยค่ะ เพราะอาหารแต่ละจานที่ทำ คือทำแบบง่ายและไวมาก ฮาฮา ไม่ค่อยได้ทำอะไรที่ซับซ้อนหรือต้มแกงหม้อใหญ่ เน้นกินเหมือนข้าวราดแกงจริงๆนะ คือมีกับข้าวอย่างนึง ไข่ดาว หรือไข่เจียว ไข่ต้ม ฟองนึง จบแล้ว
มื้อใหม่ค่อยคิดใหม่ แต่ก็วนๆอยู่แบบนี้แหละค่ะ และด้วยความที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทำแค่จานเดียวมันเลยง่ายๆ เตรียมเครื่องน้อย หั่นสับไว ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ได้กินแล้ว ทำเสร็จใหม่ๆร้อนๆออกจากเตาเลย
วันนี้มาดูเมนูของพลอยศรีกันดีกว่าค่ะ มื้อกลางวันทำผัดพริกหยวกกับเต้าหู้ ได้มาหนึ่งจาน หนึ่งอิ่ม ใช้เครื่องปรุงและวัตถุดิบดังนี้

- พริกหยวก 3 ดอก
- เต้าหู้แข็ง 1 แผ่นเล็ก
- กระเทียมสับ 2-3 กลีบ
- พริกแห้ง 2 เม็ด
- น้ำมันพืช 1-2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมันหอย,ซอสปรุงรส, น้ำตาลทราย,น้ำสะอาด เล็กน้อย
ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพอร้อนๆ ใส่เต้าหู้ลงไปผัดๆคั่วๆ รอจนเต้าหู้สุกใกล้เหลือง จึงใส่กระเทียมและพริกแห้งตามลงไป แล้วผัดให้กระเทียมเหลืองหอม จึงตามด้วยพริกหยวก




พอใส่พริกหยวกแล้วผัดให้เข้ากัน ใส่เครื่องปรุงลงไป เติมน้ำเล็กน้อย ผัดให้ทุกอย่างสุก ชิมว่าอร่อย เป็นอันเสร็จ



ดูสิ พลอยศรีว่ามันน่ากินมากๆเลยนะ คือจะบอกว่า พอตักใส่จานถ่ายรูปเสร็จ จะเดินไปตักข้าวอีกจาน และก็แบบว่าขี้เกียจให้จานเปื้อน เลยดันกับข้าวมาข้างนึงและก็ตักข้าวใส่ไปในจาน ฮาฮา เป็นความสุขที่ได้เห็น เป็นความสุขที่ได้กิน คือ รู้แน่ๆว่ามื้อนี้เรากินผักเยอะ มื้อนี้เรากินแค่นี้ กับไข่ดาวอีกหนึ่งฟอง


พลอยศรีชอบกินผักพริกหยวก รสชาติของพริกหยวกเหมือนจะเผ็ดแต่ไม่เผ็ด ผัดใหม่ๆกินอร่อยมากเพราะผักไม่นิ่ม ไม่ฉ่ำแฉะ ยังมีความสดใหม่อยู่ น้ำแกงนิดหน่อยพอคลุกข้าวให้ไม่จืดเกินไป และเต้าหู้ก็มีความหอมกระเทียม
อย่างที่บอกค่ะ พอเราทำอาหารจานเดียว มันก็จะง่ายๆ ทำก็ง่าย เตรียมก็ไว ทำอะไรก็จะทำแบบรวบรัดไปได้ไม่ต้องเตรียมแยก เหมือนทำหม้อใหญ่ กระทะใหญ่ สำหรับกินหลายคน และเป็นคนที่ชอบให้มีรสชาติเผ็ดนิดๆและมีสีสันหน่อยๆจึงเพิ่มพริกแห้ง เป็นความชอบส่วนตัว ชอบในรสและกลิ่นของพริกแห้ง
บางคนอาจจะชอบที่จะต้องกินกับข้าวหลายอย่างในหนึ่งมื้อ บางคนอาจจะชอบที่จะต้องมีผัดผัก มีต้มจืดหรือแกงเผ็ด มีไข่เจียว หรือหมูทอดไก่ทอดให้ครบในหนึ่งมื้อ และทุกมื้อชอบที่จะมีอาหารเต็มสำรับ อันนั้นเราก็เข้าใจไม่ว่ากัน
แต่ส่วนตัวของพลอยศรีแล้ว พลอยศรีกินอะไรก็ได้ ขอแค่ในมื้อนั้นอิ่มและเป็นในแบบที่ชอบก็พอ รู้ตัวนะว่าค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ค่อยจู้จี้เรื่องอาหาร
ขอเล่าเรื่องหนึ่งที่เป็นความคิดที่ได้จากการอ่านหนังสือนิยาย คือ พลอยศรีชอบอ่านหนังสือนิยายของหลายๆพื้นที่ คือไปที่ไหนเจอหนังสือน่าอ่านก็จะซื้อ ในเนื้อเรื่องมักจะเล่าถึงความยากลำบากของบางกลุ่มชน อย่างเช่นเรื่องเล่าของมนุษย์แพะที่ไม่มีอาหารอร่อยๆไม่มีน้ำดีๆให้กินเป็นปีๆ ท่ามกลางทะเลทราย กินแต่แผ่นแป้งย่างจิ้มน้ำเปล่า หรือนมแพะประทังชีวิต
หรือหนังสือเรื่องราวของชาวทิเบตที่อาศัยบนทุ่งหญ้าบนที่ราบสูง ไม่มีพืชผักกินมีแต่เนื้อสัตว์ที่ล่าได้ในช่วงฤดูร้อน พอฤดูหนาวก็กินเนื้อสัตว์ตากแห้ง กินอยู่อาศัยภายในเต้นท์ ปรุงอาหารจากเตาที่ใช้เชื้อเพลงจากการเผาไหม้แผ่นขี้จามรีหรือแกะ
คือเวลาอ่านแล้วเราก็จินตนาการ และคิดถึงภาพอาหารที่เรามีกิน คิดถึงความสะดวกสบายที่เราได้รับ มีแก็ส มีเครื่องปรุงรส มีผัก มีเนื้อสัตว์ มีเต้าหู้ มีอะไรให้เลือกกินมากมาย พลอยศรีก็จะชอบและมีความสุขกับอาหารทุกครั้งที่กินไม่ว่าอาหารตรงหน้าจะเป็นอาหารง่ายๆอาหารจานเดียวก็ตาม
ถ้าไปกินข้างนอกจะอร่อยหรือไม่ก็แค่รับรู้และก็ผ่านไป อย่างน้อยรับรู้ว่าถึงมันจะไม่อร่อยแต่เราก็ยังได้กิน ถ้าไม่ชอบก็ไม่กลับมาอีกแค่นั้นเอง ในหลายๆพื้นที่ หรือหนังสือหลายๆเล่มจะชอบเล่าเรื่องราวของการดำเนินชีวิต เล่าเรื่องราวอาหาร ความรู้สึก การนึกคิด บางสถานที่ก็ไม่มีจริงๆ บางสถานที่ก็อุดมสมบูรณ์ บางสถานที่มาพร้อมกับความอุดมสมบูรณ์และหรูหราในคราเดียวกัน
พออ่านมากๆ เราก็มีความสุขเกิดขึ้น เป็นความสุขที่เกิดจากความเรียบง่าย และรู้สึกอร่อย รู้สึกขอบคุณอาหาร ขอบคุณพืชผัก ขอบคุณความสะดวกสบายที่รายล้อมเรา เป็นความสุขที่เกิดจากภายในจริงๆ
ดูสิจะบันทึกเรื่องอาหาร การผัดพริกหยวก แต่มาเล่าเรื่องหนังสือที่อ่านเฉยเลย เนี่ยแหละเนาะที่เค้าบอกว่า การจดบันทึกทำให้เรามีความสุขและมีจุดโฟกัส มีเวลาได้อยู่กับตัวเองให้ได้คิดทบทวน
เหมือนอย่างตอนนี้ พอพิมพ์ๆไปเราก็มีความคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวของมนุษย์แพะ หรือ คิดไปถึงเรื่องราวบนทิเบตดินแดนที่ราบสูง คิดไปถึงตอนที่เค้าไม่มีเนื้อสัตว์เลยในเต้นท์ แต่มีเจ็ดชีวิตอยู่ในเต้นท์ พ่อแม่และลูกๆอีกห้าคน วันไหนออกไปล่าสัตว์ได้มาสักตัวก็คือ มื้อนั้นทุกคนจะมีความสุข บางครั้งไม่มีจริงๆก็ต้มซุปกับกระดูกแพะ กระดูกแกะ ต้มแบบซ้ำๆห้าถึงหกครั้ง ต้มจนไม่มีไขมันเหลือแล้ว แต่ไม่มีทางเลือก ก็ดีกว่าต้มด้วยน้ำเปล่าๆ
คือ พออ่านแล้ว เราได้คิดได้จินตนาการตามจริงๆนะ เป็นภาพจำหลายๆอย่าง ที่ไม่ใช่นิยายแต่งขึ้นมาปลอมๆ แต่มันจะมีบางช่วง บางเวลา บางสถานการณ์ที่ให้คนเราต้องตกไปอยู่แบบนั้นจริงๆ และเรามีอาหารมากมายตรงหน้า เราจะจู้จี้วุ่นวายไปทำไม หนึ่งอิ่ม หนึ่งความสุข ชีวิตเราก็เท่านั้นจริงๆนะ
สุขใจ ยิ้มกว่าง สวัสดีค่ะ
อ่านเรื่องอื่นๆ