แป๊บๆก็จะสิ้นเดือนแล้ว พลอยศรีค้างดองทริปอินเดียไว้ตั้งแต่ต้นเดือน ยังไม่มีอารมณ์มาเล่าสักที วันนี้ฤกษ์ดีก็อยากจะมาเล่าสู่กัน
ทริปนี้พลอยศรีไปที่รัฐเกรละเหมือนเดิม นั่งเครื่องไปที่เมืองโคชิ ไปเมื่อตอนสิ้นเดือนเมษาลากยาวมาถึงต้นเดือนพฤษาคม ตอนที่วางแผนไปเป็นช่วงที่ยังอยู่ในฤดูร้อน แต่พอเหยียบแผ่นดินเท่านั้นแหละ งงเลย ฤดูมันเปลี่ยนไป ฝนตกคร้า
พลอยศรีลงเครื่องห้าทุ่มเวลาที่อินเดีย นั่งรถแทกซี่ไปบ้านฝนตกชุ่มฉ่ำไปตลอดทางเลย พอไปถึงที่พักบ้านพี่สะใภ้ เค้าก็บอกเล่าว่าเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนหน้าอากาศร้อนมากๆ แต่เมื่อสองวันที่ผ่านมาฝนตกหนักตลอดทั้งวัน ทั้งๆที่กำหนดช่วงฤดูฝนจะอยู่แถวๆปลายเดือนมิถุนายน ต้นกรกฏาคมโน่น
พวกเค้าก็รู้สึกว่าดีจังที่ฝนเทลงมา เพราะร้อนมากฝุ่นละอองก็เยอะ พอฝนตกมาสักที ทุกอย่างก็ดูเขียวสะอาด และดูสดชื่นสบายตาสบายตัว พลอยศรีพูดคุยกันเสร็จก็เข้านอน เพราะดึกมากแล้ว พอเช้าตื่นมาชงกาแฟดื่ม มองออกไปรอบๆ อืม มันเขียวขจีจริงๆด้วย มองออกไปแล้วสดชื่นลูกตา


พลอยศรีไปอินเดียครั้งนี้ มีธุระที่ต้องไปจัดการ กำหนดเดินทางอยู่เจ็ดวัน ในเจ็ดวันนี้พวกเราก็วุ่นวายกันมาก ตื่นเช้ามาก็ดื่มกาแฟ ชื่นชมบรรยากาศ พอเก้าโมงเช้าก็ออกจากบ้าน กลับเข้าบ้านอีกทีก็หกโมงเย็นทุกวัน
ในช่วงกลางวันก็จะต้องไปพบคนนั้นไปหาคนนี้ ไปดูอะไรหลายๆอย่าง ซึ่งเป็นธุระที่ต้องกระทำต่อเนื่องของผู้ชาย และดูเหมือนว่าเราจะยังต้องไปกันอีกเรื่อยๆ การไปแต่ละทีคือการลางาน ดังนั้นไม่มีเวลาอ้อยอิ่งเลย ออกเช้ากลับค่ำตลอดเจ็ดวัน
คิวแน่นประหนึ่งดาราคิวทอง ผู้ชายจ้างคนมาขับรถเพื่อให้สะดวกและประหยัดเวลา พวกเรามีหน้าที่กระโดดขึ้น และกระโดดลง ไม่ต้องกังวลกับสภาพท้องถนนและที่จอดรถ (เวลาน้อยเราก็ต้องซื้อความสะดวกนะ)
ช่วงนี้ยังอยู่ในช่วงฤดูร้อนที่ว่า แต่ฝนมาเยือนก่อนนัดหมาย เราก็เลยได้มีโอกาศเห็นต้นหางนกยูงออกดอกเต็มถนนเลย โชคดีมากๆ พลอยศรีชอบดอกไม้ทุกชนิดเลยสุขใจที่ได้เห็น
ที่รัฐเกรละไม่ว่าไปที่ไหน คุณจะเห็นต้นไม้ดอกไม้เขียวขจีมากกว่ารัฐอื่นๆ ตามถนนหนทางคุณจะเห็นต้นหางนกยูงและต้นคูณอยู่เรื่อยไปตลอดแนวทาง มากบ้าง น้อยบ้าง แต่ก็ไม่คลาดสายตาเลย คือ นั่งรถไป บางทีเจอเป็นอุโมงค์หางนกยูง ออกดอกสีแดงสะพรั่งแผ่กิ่งก้านโน้มเข้าหากัน



ภาพถ่ายอาจไม่ชัดเจน แต่ภาพจริงนั้นชัดอยู่ในใจ พลอยศรีนั่งรถไป รถก็แล่นด้วยความเร็ว ภาพก็จะเบลอๆหน่อย แต่ตลอดทางเราจะเจอแบบนี้ ไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมือง หรือบนถนนไฮเวย์ก็ตามที นั่งรถไปก็คิดว่า เอ!! นี่ต้นหางนกยูงก็ออกดอกพร้อมกันสะพรั่งสวยงาม พอๆกับซากุระที่ญี่ปุ่นเลยนะ
โดนฝนซัด ลมสะบัด กลีบดอกก็ล่วงหล่นสวยงามตามพื้นถนน เราควรที่จะยินดีและพอใจกับสิ่งที่เราเห็นตรงหน้าหรือสิ่งที่เรามีตอนนี้ เราก็จะมีความสุขได้ พลอยศรีสุขใจมาก ยิ้มกว้างเลย นี่สินะซากุระอินเดีย แถมมีอายุยืนด้วยอยู่นานตลอดฤดูร้อนเลย
สงสัยเหมือนกันว่าเค้าปลูกไว้หรือมันขึ้นเองนะ เพราะมันกระจัดกระจายไม่ได้ป็นระเบียบเสียทีเดียว แต่มันก็มีอยู่ทั่วไป และที่เกรละต้นไม้ก็หนาแน่นเลยแยกไม่ออกจริงๆ อันไหนปลูกอันไหนไม้ป่าขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่ที่แน่ๆ พลอยศรีคิดเสียงดังๆว่า ถ้าฉันมีบ้านสวนเป็นของตัวเองนะ ต้นไม้ดอกสีแดงนี้ต้องมี เพราะฉันชอบดอกไม้ แม้กินไม่ได้แต่มันก็มอบความสบายตาให้กับเราและผู้มาเยือน สุขภาพกายจะดีได้ สุขภาพจิตก็ต้องดีก่อน พลอยศรีคิดแบบนี้แหละ เพราะเมื่อไหร่ที่เราใจดีสิ่งดีๆก็จะตามมา มันเป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดกัน และในทุกๆดอกไม้มักมีมนต์วิเศษที่เสกความสุขอยู่เสมอ
ชอบเล่าเนอะ เล่าไปเรื่อย ฮาฮา กลับมาที่งานของผู้ชายต่อ หลังจากวุ่นวายทำธุระอยู่ในเมืองสองวัน ทีนี้ก็ต้องออกไปต่างจังหวัด เราต้องไปอยู่ต่างจังหวัดกันสามวัน ผู้ชายต้องขับรถเองเพราะว่าถ้าไปค้างหลายคืนคนขับรถจะไม่สะดวกไป เราก็เข้าใจ งานนี้พลอยศรีก็เลยต้องนั่งหน้าเป็นเพื่อนผู้ชายพร้อมกับเกร็งขาช่วยเหยียบเบรคไปตลอดทาง
ฝนก็ตกปรอยๆไปเรื่อย หนักบ้างเบาบ้าง แต่ก็อย่างที่ว่าในตลอดระยะทางเราก็ผ่านทุ่งนา ต้นไม้ดอกไม้ริมทาง ฝูงสัตว์วัวควายไปเรื่อย พบเจอความสวยที่มาพร้อมกับความเสียวในบางช่วง เพราะถนนค่อนข้างแคบ รถก็ค่อนข้างเยอะเวลาผ่านเมืองต่างๆ แต่พอออกนอกเมืองก็จะเงียบสงบหน่อย



อีกทั้งอินเดียคำว่าขับรถตามกฎจราจรใช้ไม่ได้นะ คุณต้องขับไปตามความรู้สึกเท่านั้นจริงๆ แบบว่า ถ้ากล้าก็ไปได้ ฮาฮา ถ้ามายึกๆยือๆรอๆรีๆ ไม่ได้จริงๆ รถมาทุกทาง การตัดสินใจต้องกล้าอย่างมีสติ เหมือนที่เคยอ่านเจอจากหนังสือของคุณนิ้วกลมว่า ขับรถที่อินเดีย ต้องมีสามอย่างดี คือ ตาดี แตรดี และเบรคดี
พอขับไปสักระยะเข้าใกล้จุดหมายปลายทางก็ต้องว้าวกับบรรยากาศ เนื่องจากเป็นเขตภูเขา และมีฝนตกทำให้มีหมอกล่องลอยรับหน้า สวยงาม ตระโกนดังๆว่าสวยจังเล้ยยย !!!
เห็นสายน้ำตกไกลเป็นร่องขาวๆ แต่เราถ่ายภาพไม่ได้ก็นั่งชมไป และก็ร้องว่าว้าวสวยจัง ว้าวสวยจัง สลับกับ เธอระวัง ระวัง ระวัง ฮาฮา เพราะถนนเป็นทางโค้ง มีทั้งรถที่จะสวนและจะแซงอยู่เรื่อยทาง และเราก็มองไม่เห็นรถที่สวนมา อาศัยบีบแตร แป๊นๆเวลาเข้าโค้งเพื่อส่งสัญญาณให้รู้กัน

ออกจากบ้านตอนเก้าโมงเช้า พอเที่ยงกว่าๆก็มาถึงที่หมาย จอดแวะดื่มกาแฟ ทานข้าวระหว่างทางบ้าง ใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงกับระยะทางร้อยกว่ากิโลเมตรนิดๆ ถ้าเป็นถนนที่มาเลเซีย ร้อยกว่ากิโลพลอยศรีเหยียบคันเร่งแค่ชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว เพราะที่มาเลเซียถนนดีมาก แต่ที่เกรละ รถเยอะ คนเยอะ ถนนแคบจนไม่มีที่จะขยาย พร้อมกับเป็นทางคดโค้งก็ปรับสภาพกันไป พอไปบ่อยๆก็ชิน
พอมาถึงเราก็ไปทำการเช้คอินเข้าที่พัก เนื่องจากผู้ชายต้องมาทำธุระที่นี่ค่อนข้างบ่อย จึงได้ทำการต่อราคากับเจ้าของที่พักเป็นการผูกขาดเอาไว้เลย ไม่ว่าเราจะมาเมื่อไหร่เราก็จะได้ที่พักประจำห้องเดิมทุกครั้งที่มาในราคาประมาณ 1,300 บาทต่อคืน พร้อมอาหารเช้า คือ วิวดีมาก จากราคาปกติคืนละประมาณ 1,500 บาทกว่าๆ



พลอยศรีเป็นมนุษย์ไปไหนก็พกของกินติดมือติดกระเป๋าไปด้วย แบบว่าถ้าเจอของพื้นเมืองอร่อยเราก็กิน แต่ถ้าไม่ถูกปากไม่ถูกใจฉันก็มี ฮาฮา
เป็นคนที่ห่วงเรื่องกินจริงๆนะ เวลานั่งรถก็จะค่อยๆล้วงออกมากิน เวลาเบื่อๆก็ค่อยๆเปิดกระเป๋าหยิบออกมา มีซุกอยู่ทั่วไปทั้งในกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือ จุกจิ๊ก จุบจิบ แบบว่าอยู่อินเดียไม่เบื่อหน่ายเลย


และนี่คืออาหารเช้ากลางป่าเขาลำเนาไพร เค้ามีอาหารเช้าเป็นอาหารเซ็ตให้นะแต่ไม่ชอบกิน พกมาม่ามาเติมน้ำร้อนทุกวันอ่ะ


แบบว่ามาทุกครั้งพนักงานที่ดูแลก็จะรู้เลย พอเห็นเราถือกระปุกมายื่นให้เค้าก็จะไปเติมน้ำร้อนให้ และพลอยศรีก็จะขอแค่ไข่ต้มสองฟองอยู่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้คือ ตกเย็นมาพนักงานจะมาถามว่าพรุ่งนี้เช้าจะกินอะไร เค้าไม่ถามผู้ชายนะ เพราะรู้ว่ากินได้ทุกอย่าง แต่มาถามพลอยศรีคนเดียว เพราะเป็นคนที่แตกต่างไปทุกอย่าง ฮาฮา
อย่างเช่น กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล ขอไข่ต้มสองฟอง พอแล้ว ไม่ต้องห่วงฉัน จากนั้นเค้าก็จะทำอาหารแค่พอประมาณ ไม่ต้องเหลือเยอะ ไม่ต้องทำเผื่อ ไม่ต้องไปเตรียมขนมปัง เนย แยมให้วุ่นวาย ที่พักเป็นโรงแรมเล็กๆ มีสักสิบห้องเอง เค้าก็จะทำอาหารแบบง่ายๆ แบบว่าวันนี้มีวัตถุดิบอะไรก็ทำ แต่มีไข่แน่ๆทุกวันเพราะไข่จากเล้าของเค้าเอง ผลไม้ก็ตามฤดูกาลในสวน
ผู้ชายก็จะมีความสุขกับอาหารที่เค้าจัดหาไว้ให้ ก็อินเดียอ่ะเนอะ ก็จะถูกใจเป็นธรรมดาแต่พลอยศรีไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ อาหารเช้าของเค้าพลอยศรีกินเป็นขนมเลย มันเหมือนกับขนมถังแตกที่ไม่โรยมะพร้าว งา และน้ำตาล แต่เสิร์ฟพร้อมกับแกงผักรวม หรือแกงไข่ต้ม
พลอยศรีจะขอแค่น้ำตาลทราย เอามาโรยขนมกิน นี่แอบคิดไว้ในใจ เดี๋ยวคราวหน้าพลอยศรีจะคั่วงาผสมน้ำตาลทรายไปด้วยเลย ฮาฮา พอเค้าเสริฟเราก็งัดน้ำตาลกับงาของเรามาโรย คงหอมอร่อยไม่น้อยทีเดียว ตัวแป้งของเค้านุ่มฟูมาก แต่พลอยศรีกินกับแกงไม่ถูกจริตจริงๆ
พลอยศรีบอกผู้ชายว่าอันเนี้ยที่เมืองไทยอ่ะเป็นขนม ผู้ชายก็จะบอกว่าคนไทยไม่รู้ จริงๆมันเป็นอาหาร และเราก็ขำๆกัน ว่าใครก๊อปปี้ใคร
เรื่องราวก็ประมาณนี้ค่ะ พอออกจากที่พักเราก็ไปจัดการเรื่องธุระของเรา ผู้ชายก็ไปทำงานของเขามีประชุมกับผู้คน พลอยศรีก็นั่งรอ เดินเล่น ฆ่าเวลาไป
พอกลางวันหรือเย็นๆ เราก็เป็นมนุษย์คาเฟ่ ต้องออกไปหาร้านกาแฟดื่ม ที่นั่นถึงจะเป็นชนบท แต่ก็มีร้านอาหารและคาเฟ่ที่พอเข้าท่าอยู่สองสามร้าน ห่างจากที่พักแค่ห้ากิโลเมตร ขับรถสักยี่สิบนาทีก็ถึง เราก็จะไปฝากท้องมื้อกลางวัน มื้อค่ำกันแถวๆนั้น
มีไร่ชาที่มีโรงงานชาอยู่ ที่นั่นเค้าเปิดคาเฟ่ขายอาหารและเครื่องดื่มด้วย สะอาดบรรยากาศดี และตอนนี้ก็เปิดโรงงานชาให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกทาง เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายชา พลอยศรีไปบ่อยๆแต่ก็แค่เดินดูรอบๆ คราวนี้เค้าเปิดให้เข้าชมคิดเงินหัวละสองร้อยรูปี คือ ไม่แพงสำหรับการเรียนรู้ พอว่างเราก็เลยไปกัน










พลอยศรีชอบดื่มชามากๆ แต่เป็นชาที่ไม่ใส่นม ซึ่งคนอินเดียจะดื่มชานมเป็นหลักมากกว่าดื่มกาแฟ ไปที่ไหนก็ชา พบเจอใครก็เสิร์ฟชา เราได้เข้าไปเรียนรู้จากที่นี่ว่า ชานั้นมีต้นกำเนิดมาจากจีน เป็นของมีราคาที่ชนชั้นสูงของจีนนิยมดื่มกันในสมัยอดีต และวันนึงมันก็ค่อยๆกระจายสู่ชาวบ้านสามัญชน
จนถึงช่วงเวลาที่อังกฤษเข้ามาปกครองอินเดีย เค้าก็ได้นำต้นชาจากจีนเข้ามาปลูกที่อินเดีย และศรีลังกา เนื่องจากพบว่าสภาพอากาศ พื้นที่และความอุดมสมบูรณ์ของดินนั้นเหมาะสมคล้ายๆกับที่เมืองจีน
โดยที่อินเดียเริ่มปลูกที่เมืองดาร์จีริ่งในรัฐเบงกอลตะวันตก ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย และจากนั้น ชาก็ค่อยๆแผ่ขยายไปทั่วอินเดียในหลายๆเมือง รัฐเกรละก็เป็นหนึ่งเมืองที่มีสภาพอากาศ และความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การปลูกชาอยู่หลายแห่งเลยทีเดียว
พลอยศรีได้เข้าไปชมกระบวนการผลิตตั้งแต่การเก็บใบชามาผึ่งตาก เป่าลมให้ใบเหี่ยวนิ่ม สู่การบดให้ใบชามีความแตกตัว การบดก็จะมีแบบบดละเอียด และบดแค่พอหยาบๆ จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการบ่ม อบเป่าให้แห้ง และทำการแพ็กใส่กระสอบเพื่อเตรียมส่งไปประมูลตีราคา ชาเขียว ชาขาว ชาดำ กรรมวิธีก็แตกต่างกันไป แตกต่างตั้งแต่กระบวนการเก็บใบชา
พลอยศรีทราบนะคะว่าเรื่องแบบนี้หารู้ได้ทั่วไป แต่พลอยศรีชอบดื่มชาก็เลยจะชอบเข้าไปเรียนรู้อะไรแบบนี้ มันเป็นความสุขทุกครั้งที่เราดื่มเข้าไป เพราะเราไม่ได้แค่ดื่มชา แต่เราดื่มหลายๆอย่างเราดื่มเรื่องราว หยาดเหงื่อ ความเป็นมาเข้าไปด้วย
ที่ไร่ชานี้มีคาเฟ่ด้วย เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ขายอาหาร ขายเครื่องดื่ม ขายใบชา และมีที่ชาร์ตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าด้วย สามารถชาร์ตได้ครั้งละสองคัน ในอนาคตอาจมีเพิ่มเติม ดูแล้วกลิ่นอายความเจริญก็เข้ามาเรื่อยๆนะ


พลอยศรีชอบดื่ม เซเว่นอัพ รู้สึกว่ามันซ่าดี คือ เดินเข้าออกที่นี่ประหนึ่งเราเป็นหุ้นส่วน มาอยู่สามวันก็มาสามวันอ่ะ มากินกลางวันบ้าง มากินมื้อค่ำบ้าง แค่แวะมาดื่มกาแฟตอนบ่ายแก่ๆบ้าง คือ สลับกันไปตามความสะดวก แต่วันนึงต้องมีสักรอบที่แวะเข้ามา ฮาฮา
อาหารเค้าก็มีทั้งอินเดียและแบบสากล พิซซ่า สปาเก็ตตี้ เค้กเค้ามีครบ อาจไม่สวยงามและหลากหลาย แต่ก็ช่วยให้หายอยาก เพราะที่นี่เค้าเปิดเป็นรีสอร์ทท่ามกลางไร่ชาด้วยแต่คืนนึงประมาณหกพันกว่าบาท เราเลยได้แค่แวะมากินไม่ได้มานอน
ฝั่งตรงข้ามคาเฟ่ก็มีร้านอาหารเป็นร้านอาหารอินเดีย แต่หนักไปทางบาบีคิว พลอยศรีกต้องแวะไปกินเช่นกัน ไก่ย่าง เนื้อย่าง ต้องได้สักมื้อ ทำให้ทุกครั้งที่มาเราไม่มีปัญหาเรื่องอาหารเท่าไหร่ เพราะยังพอมีของอร่อยและสะอาดสะอ้านให้กิน


ระหว่างทางที่เราต้องวิ่งทำธุระไปมากับร้านอาหาร ก็จะมีน้ำตกริมถนน เนื่องจากช่วงนี้ฝนตก ก็จะมีน้ำให้พอเห็นสวยงาม ถ้ามาช่วงหน้าแล้งก็แห้งเลย ช่วงหน้าแล้งร้านค้าก็เงียบเหงา พอฝนตกมีน้ำชาวบ้านก็มาเปิดร้านขายชาขายขนมขบเคี้ยวให้กับนักท่องเที่ยวที่จอดแวะชม
พลอยศรีนึกอยากจะกินกล้วยทอด เลยบอกให้ผู้ชายจอดๆ อยากกินกล้วยทอด ฮาฮา เริ่มแรกไปซื้อมาชิ้นเดียว กินอร่อยติดใจ กลับไปซื้อมาอีกสองชิ้น ดีนะยังไม่ขึ้นรถ กินเสร็จเดินวนกลับมาซื้อใหม่ ขำจัง มันอร่อยอ่ะ แต่ก็มองข้ามน้ำมันดำๆไปก่อน บอกตัวเองว่า นานๆทีเอาน่า
พลอยศรีมาหลายรอบเพิ่งจะจอดนี่แหละ ต่อไปจะต้องแวะมากินกล้วยทอดทุกครั้งที่ผ่านซะแล้ว ปกติคือวิ่งผ่านป๊าดดด.. ไปเลย ได้แค่มองผ่านกระจก


อยู่ที่นั่นสามวันเราก็เสร็จธุระ หันหน้ากลับเข้าเมือง ขากลับโชคดีมากไม่มีฝน เราขับราบรื่นมาตลอดทาง ถึงบ้านตอนค่ำๆ พลอยศรีก็กินข้าวกับไก่ย่างที่หลานชายทำเตรียมไว้ เป็นการหายเหนื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อได้เจออาหารที่ถูกปาก พร้อมกับดื่มชาร้อนๆที่เพิ่งซื้อมาจากไร่ชา พี่สะใภ้เริ่มคุ้นชินกับการที่พลอยศรีต้องเดินไปต้มน้ำร้อนใส่ชาเขียวก่อนนอน วันละแก้วหลับสบาย
พอวันรุ่งขึ้น เราก็ออกไปตะลอนเก็บตกธุระที่คั่งค้าง มีเวลาสองวัน คือก็ใช้กันหมดเวลาเลยแหละ วันสุดท้ายคือ เข้าบ้านตอนห้าโมงเย็น มาแพ็กกระเป๋าและทุ่มนึงออกจากบ้าน
ซึ่งนี่เป็นกิจกรรมที่เราจะต้องทำกันอีกหลายหน ตอนนี้พลอยศรีก็จะต้องทำให้ร่างกายแข็งแรง เพราะเดินทางแต่ละทีเหนื่อยมาก ไหนจะช่วงเวลาที่แตกต่าง การเดินทางยามค่ำคืน อีกทั้งพอไปถึงกิจกรรมก็อัดแน่นทุกวัน
แต่ถึงจะเหนื่อยหนักแค่ไหน แต่ก็ยังดีที่ยังได้ออกไปต่างจังหวัดบ้าง วันสองวันได้วิ่งรถไปมาอยู่นอกเมืองมันก็ดีกว่าการที่เราอยู่ในเมืองตลอด ถึงจะเหนื่อยกับการเดินทางแต่ก็ยังได้หายใจเอาบรรยากาศดีๆเข้าไป ทำให้เรามีพลังกลับมาสู้ต่อไป
ถึงแม้การที่เราไปมันจะเป็นงานก็เถอะ เครียดตอนเจรจาแต่พอจบงานเราก็ชมฝน จิบชา เคล้าสายหมอกไป ก็พอได้อยู่นะ
จบทริปปิดท้าย พลอยศรีสไตล์ คือ เมื่อมาถึงสนามบิน เค้าจะมีร้านหนังสือ ก็ต้องแวะค่ะ ซื้อไม่ซื้อก็ต้องแวะ ถ้าไม่ได้เข้าไปจับ รู้สึกเหมือนครั้งนี้เราได้ของไม่ครบ งานนี้หายไปแพร็บออกมาได้มาสามเล่ม สบายใจ
ตอนนี้อ่านจบไปเล่มนึงแล้วของโอโช หนังสือที่อ่านแล้วว้าวทั้งเล่มอ่ะ เป็นการบันทึกการพูดบรรยายของโอโชที่ไหลไปเรื่อย ไหลแต่ครอบคลุม ถามอะไรตอบได้หมด วิเศษมาก
ส่วนผู้ชายก็สไต์เค้าต้องแวะซื้อกล้วยทอด กล้วยกรอบ ไปทุกทีหอบหนักทุกรอบ มีแต่ของกิน



เล่าเรื่องมาถึงบรรทัดสุดท้าย สบายใจและ อีกหนึ่งบันทึก อีกหนึ่งเรื่องราว อีกหนึ่งการเดินทางของพลอยศรี จบทริปนี้อีกสองเดือนเราก็คงเจอกันใหม่กับเรื่องราวเดิมๆ เพิ่มเติมคือ บรรยากาศที่เปลี่ยนไป แล้งบ้าง ฝนบ้าง ร้อนบ้าง หนาวบ้าง ก็มันคือชีวิตอ่ะเนาะ
สำหรับวันนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุข สุขใจ ยิ้มกว้าง สวัสดีค่ะ