เมื่อโลกมันกลม เราจึงกลิ้งมาพบกัน

สวัสดีค่ะ วันนี้พลอยศรีมีเรื่องราวดีๆมาบันทึก

เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานมานี้ เป็นเรื่องราวที่เราไม่ได้คิดเลยว่าวันนึงมันจะเกิดขึ้นได้

เริ่มเรื่องคือ เมื่อปีที่แล้ว ช่วงกลางๆปีๆ เราอยู่กันที่อินเดีย ผู้ชายทำงานที่นั่น ในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง

เราทำงานอยู่ที่นั่นประมาณครึ่งปี ที่ทำงานก็มีนักศึกษามาฝึกงาน ฝึกงานอยู่ประมาณสองเดือน ก็ถึงกำหนดกลับ

ก่อนกลับ ผู้ชายเปิดบ้านเลี้ยงอาหารนักศึกษาทุกคน มีประมาณห้าหกคน พลอยศรีจำไม่ได้แล้ว วันนั้นพลอยศรีทำอาหารหลายอย่าง เตรียมต้อนรับ

จำได้ เหตุผลที่ผู้ชายบอกว่าจะเปิดบ้านเลี้ยงอาหารค่ำวันนั้น เพราะอยากให้เป็นกำลังใจ อยากพูดคุยกับเด็กๆแบบสบายๆ ไม่ต้องเกร็งแบบตอนอยู่ที่ทำงาน อยากบอกว่าชีวิตการเป็นนักเรียน การฝึกงาน กับการออกไปทำงานจริงๆมันต่างกันยังไง

ก่อนกลับคืนนั้น จำได้เค้าบอกว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้ เราได้พูดคุยกัน ทราบว่าเด็กๆมาจากต่างรัฐ มาจากพื้นฐานครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่มีความมุ่งมั่น มาฝึกงานรวมกันอยู่ในห้องแคบๆ แชร์ค่าห้องค่าอาหารกัน ปิดเทอมบางคนไปท่องเที่ยว กลับไปบ้านพักผ่อน แต่พวกเค้าเลือกมาฝึกงาน

และทุกอย่างก็จบแค่นั้น นักศึกษากลับไปเรียนต่อ เราก็ทำงานต่อ

และวันเวลาผ่านไป เราก็ลาออกและย้ายตัวเองมาอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสังคม

จนเมื่อสองเดือนที่แล้ว ผู้ชายบอกพลอยศรีว่า บริษัทจะรับสมัครนักศึกษาจบใหม่ และผู้ชายอาจต้องสัมภาษณ์

พออ่านรายชื่อ เอ๊ะ เด็กอินเดีย อ่านประวัติคร่าวๆ เจอชื่อคุ้นๆ ดูสถานที่ฝึกงานที่ผ่านมา ก็ถึงกับอ้าว … เค้าคือเด็กหลายๆคนที่เคยไปฝึกงานและเราเคยเลี้ยงอาหาร

งานนี้ก็หนักใจ … ผู้ชายโทรไปพูดคุย ถามไถ่ และให้คนอื่นสัมภาษณ์ เราไม่สะดวก เพราะเคยรู้จักมาก่อน ก็ต้องแฟร์

เมื่อวาน ผู้ชายบอกพลอยศรี มีเด็กหนึ่งคนได้งานที่บริษัท เค้าจะร่วมงานปีหน้า รอจบอีกหนึ่งเทอม พร้อมบอกชื่อ พลอยศรีก็จำหน้าไม่ได้แล้ว แต่วันนึงเราคงได้พบกัน

โลกมันกลมนะ ผู้ชายไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่เข้าไปสัมภาษณ์อะไร ส่งต่อให้คนอื่นเลย ส่งต่อให้ทางอินเดียในเมืองบังกาลอร์ทำการสัมภาษณ์ โดยไม่แจ้งรายละเอียดใดๆ เพื่อประโยชน์ของทุกคนที่มาสมัคร

อันนี้คือ ความตรงของผู้ชายที่พลอยศรีชอบ เค้าจะไม่เอียงเลย แต่โอเค เด็กที่เรารู้จักมีพูดคุยบ้าง บอกเล่าบ้าง แต่เค้าไม่ไปโทรหาใคร ใครโทรมาปรึกษาก็บอกสิ่งที่ควรทราบ และเด็กทุกคนก็ปรึกษา แต่ใครเก็บข้อมูลไปมากน้อยก็อีกเรื่อง ทำการบ้านดีไหมก็อีกเรื่อง

วันนี้เราได้เรียนรู้หลายๆอย่าง เด็กที่มาฝึกงานในวันนั้น เราเซ็นต์ผ่านงานให้ เลี้ยงข้าวให้กำลังใจ

ผู้ชายก็มาให้พลอยศรีเปิดบ้านเป็นการส่วนตัว ลงทุนทำเอง เลี้ยงเอง ไม่ได้มองว่าเป็นแค่เด็กๆไม่ต้องสนใจใส่ใจ แค่มาของานทำเป็นพิธี 

ทุกอย่างเป็นก้าวแรกในวันนั้น วันนี้เราได้เห็นบันไดชีวิตอีกขั้น เราใส่ใจ เราจริงใจ อีกหนึ่งชีวิตที่กำลังเริ่มต้น

พลอยศรีดีใจกับเค้า ถือว่าเป็นก้าวสำคัญ มาไกล มีความสามารถ บริษัทมองเห็น เพราะเราไม่ได้เข้าไปพูดเข้าข้างอะไรเลย เนื่องจากเด็กหลายคนที่สมัคร วันนั้นมาบ้านเราหลายคน ผู้ชายพูดแค่ว่า ควรได้คนที่พร้อมและเก่งจริงๆ จึงไม่เข้าทีมสัมภาษณ์ ให้คนอื่นทำแทน ตัดสินแทนไปเลย

ผู้ชายเคยอยู่กับเด็กพวกนี้มาสองเดือน ดังนั้นคนที่ไม่เคยรู้จักสัมภาษณ์จะดึงศักยภาพออกมาได้โดยแท้จริง เราไม่ต้องการสบตาและไม่สะดวกใจ และไม่ต้องการเลือกคนผิด

พลอยศรีชอบนะ ตรงๆดี เด็กคนนั้นก็คาดหวังว่าผู้ชายจะสัมภาษณ์เค้า ตามวัฒนธรรมท้องถิ่นก็อาจจะพี่ช่วยน้องอะไรงี้ แต่ผู้ชายบ้านเรา ทำงานกับต่างชาติมาทั้งชีวิต ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง ไม่มีการฝากฝัง ไม่ใช้เส้นสาย ต้องใช้ความสามารถจริงเข้ามา แล้วค่อยช่วยเหลือเกื้อกูลกันทีหลัง

ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องราว ไม่ว่าเราจะไปทางไหน ย้ายไปย้ายมา เปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่อยู่ แต่แล้ววันนึงเราก็อาจจะกลิ้งมาเจอกันได้อีก ไม่มีคำว่า แยกย้ายและจบไป

ทุกวันนี้โลกเราค่อนข้างแคบ คนที่เรียนจบมาจากคณะเดียวกัน สมัครงานก็คล้ายๆกัน ทุกปีบริษัทต่างๆก็จะไปต่อคิวเฝ้ารอนักศึกษาจบใหม่ เปิดรับสมัคร นักศึกษาเหล่านี้ก็จะหว่านแหสมัครไปทั่ว คาดหวังสักที่จะรับเข้าทำงาน และเราห่างกันคนละซีกโลก วันนี้มีโอกาสได้กลับมาพบกันอีก

เด็กโทรมา พูดคุย ถามไถ่ บอกว่าได้รับเลือก …. เราผู้ฟัง ดีใจนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย แต่เราดีใจ มันอธิบายไม่ถูก ทั้งๆที่พลอยศรีเจอแค่ตอนเปิดบ้านช่วงเวลาสั้นๆ

วันนี้ก็ไม่มีเรื่องราวอะไรมาก แต่เป็นความดีใจในข่าวที่ได้รับเลยอยากบันทึกเก็บไว้เป็นความทรงจำ เป็นเรื่องราวดีๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ

อ้อๆ อีกหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน ไหนๆเล่าและเกือบลืม เล่าเลยและกัน เตือนใจ คือในช่วงเวลาเดียวกัน ช่วงนั้นมีคนรู้จักที่สิงคโปร์ติดต่อผู้ชายมา ว่าลูกสาวสมัคงานที่บริษัท กำลังจะจบเหลืออีกหนึ่งเทอมเช่นกัน ขอให้ผู้ชายช่วยเหลือ

ช่วงนั้นบอสของผู้ชายก็ไปประชุมที่มาเลเซียพอดี ผู้ชายก็บอกคนรู้จักไปว่า บอสกำลังจะไปประชุมที่มาเลเซีย ถ้าลูกสาวสะดวกให้ไปหาบอสได้เป็นการส่วนตัว ไปพบปะพูดคุยสั้นๆ ให้เค้าได้เห็นหน้า พูดคุยเรียนรู้ทัศนคติถามไถ่ เค้าจะได้จดจำ

แจ้งส่งข้อความสั้นๆไปตามนั้นให้พ่อของเด็ก …. เวลาผ่านไปหนึ่งวัน พ่อเด็กก็ตอบมาว่า เด็กไม่สะดวกมีเรียน ขอนัดพบออนไลน์ได้ไหม 

ผู้ชายกลับมาเล่าให้พลอยศรีฟัง ว่าผมไม่ได้ตอบ ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะพูด เพราะบอสของผมจะอยู่มาเลเซียสองสามวัน ลูกสาวติดเรียน แต่ตอนเย็นเลิกเรียนสามารถนั่งรถบัสข้ามมา หรือบินมาก็ได้ และวันนั้นวันศุกร์ อีกสองวันคือวันหยุด มีอะไรที่ไม่สำคัญเรายกเลิกได้ก็ควรยกเลิก

แต่เค้าคงมองแค่ ทำไมต้องมา เสียเวลา เสียเงิน ค่าเดินทาง ค่าที่พัก แต่สำหรับผม ถ้าเค้าเสียสละเวลามา แม้เพียงนั่งคุยกันแค่ยี่สิบนาที บอสผมแน่นอนตอนสัมภาษณ์ต้องพิจารณาเค้าเป็นพิเศษแน่ๆ แต่นี่ไม่มีความทรงจําอะไร 

และผู้ชายคนที่รู้จักคือตอนนั้นเค้ามาทำงานที่มาเลเซียพอดี เหมือนโปรเจคสั้นๆ ถ้าลูกสาวเค้ามาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย มีที่อยู่พร้อม และพ่อก็อยู่ที่นั่นรู้จุดนัดพบ รู้เส้นทาง ไม่มีอะไรยากเลย รถบัสวิ่งตรงสี่ชั่วโมง เครื่องบินก็สะดวกชั่วโมงเดียวถึง

ผู้ชายบอกผมก็ไม่สามารถไปบอกบอสได้ว่าเค้าขอนัดพบออนไลน์ เพราะดูไม่ดี ผมก็เลือกที่จะเงียบเฉยๆ แต่ก่อนบอสไป ผมแค่เปรยเอาไว้ว่าลูกคนรู้จักเค้าสมัครงานที่บริษัท บางทีอาจจะเจอเค้าที่มาเลเซีย แค่นั้น เค้าอาจมาพบ บอสก็รับทราบ

ผู้ชายบอกกับพลอยศรีว่า ถ้าเราอยากได้อะไร เราต้องไปให้ถึง คุณเสียสละเวลา และเงินเดินทางมา สิ่งที่คุณจะได้รับหลังจากนั้นมันมีค่า สำหรับผมถ้ารู้ว่าอะไรสำคัญ ผมจะไป ถึงจะพบแค่ห้านาทีก็จะไป ถ้านั่นมันจะทำให้เรามีโอกาส

พอได้ฟังเราก็คิดตาม จริงนะ อยู่กับผู้ชายมาครึ่งชีวิต เวลาเค้าจะทำอะไรเค้าโฟกัสไม่สนใจอะไร ไม่มีเงินก็จะหายืมไป ไม่มีเวลาว่างก็จะลางานไป ไปพบแค่ห้านาทีก็ยอมไป อดหลับ อดนอน ยอมเหนื่อย

แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะช่วงวัยเราต่างกัน เราเลยคิดต่างกัน และที่สำคัญเด็กคนนี้พร้อม เพราะพ่อแม่มีเงินสนับสนุน แต่เด็กคงคิดว่า พบออนไลน์ก็ได้ จะต้องเหนื่อยไปทำไม สรุปว่า เค้าก็ไม่ได้งาน ส่วนเหตุผล เราไม่ทราบ เราทราบแค่ว่า เค้าไม่ได้แค่นั้น และเค้าก็ไม่เคยติดต่อเรากลับมาตั้งแต่วันนั้นที่เราเงียบไป

พลอยศรีคุยกับผู้ชายว่า เด็กคนนั้นอาจจะไม่ได้คิด เค้าอาจจะคิดตามวิถีเด็กเจนนี้ คือ ออนไลน์ง่าย สะดวก ประหยัด … ผู้ชายก็บอกว่า คนที่ติดต่อมาคือพ่อเค้า ถ้าลูกเค้าคิดไม่ได้ พ่อก็มีหน้าที่ต้องคิดนำ

พลอยศรีอยู่กับผู้ชาย เรียนรู้ที่จะต้องยอมเหนื่อย เสียสละเวลาและเงินทอง เพื่อให้เราสำเร็จอะไรในบางอย่าง แบบไม่มีข้อแม้ถ้ามีทางเลือกให้เรา ยากหน่อยก็ต้องลุย และเราก็เป็นทีมเวิร์คกันมาตลอด ตะลุย ตะลอน

ที่จำได้ดีคือ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจำเป็นต้องสอบวัดผลภาษาอังกฤษเพื่อเข้าเรียนต่อ แต่ตอนนั้นประเทศที่เราอยู่เค้าปิดรับสมัคร เต็มจำนวน ต้องรอรอบถัดไป อีกครึ่งเดือน

เราไม่มีเวลารอ ผู้ชายก็กดหา ประเทศไหนมีจัดสอบช่วงนี้ เราต้องการผลสอบในหนึ่งสัปดาห์ ถ้าเรายื่นผลทันเราก็สมัครเข้าเรียนต่อทันเทอมที่กำลังเปิดรับสมัค ไม่ต้องรอทิ้งเวลาอีกปี

โชคดีมีประเทศใกล้ๆ เวลาไม่มี เลิกงานเย็นวันศุกร์ก็บินเลย ไปเข้าพักโรงแรมกลางดึก เช้าเข้าสอบ เย็นบินกลับ ไม่เที่ยว ไม่รอ รีบไปรีบกลับ ประหยัดเวลา ประหยัดเงิน ค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทาง

เราไม่ได้นั่งรอโชคชะตา นั่งเสียดายว่า สอบไม่ทัน โอเค รอปีหน้า …แต่เราพยายามอย่างที่สุดก่อน หาก่อน ประเทศรอบบ้าน สามสี่ประเทศตรงไหนก็ได้ที่ยังเปิดอยู่และบินได้ทันทีไม่ต้องใช้วีซ่า และก็ได้ผลทันยื่นสมัคร เซฟเวลาไปหนึ่งปี

เงินก็ไม่มีด้วย แต่ใจเรามี เราทนหิว ทนเหนื่อยได้ เรายังไหว อาจจะเป็นเพราะเราเป็นวัยในการต่อสู้ก็เป็นได้ เราไม่มีใครสนับสนุน เราอยากได้เราต้องสู้เอง

และ ตอนสมัคมาทำงานที่นี่ บริษัทสัมภาษณ์ออนไลน์ และบอกรอผล พอถึงเวลา บริษัทถามว่าเราสะดวกมาสัมภาษณ์แบบพบหน้าไหม บริษัทจะให้ตั๋วเครื่องบิน แต่เราต้องยื่นขอวีซ่ามาเอง ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร

เราผ่านสัมภาษณ์ออนไลน์แล้ว ยังไง แปดสิบเปอร์เซ็นต์คิดว่าเราได้แล้วหละ แต่บริษัทไม่ได้สัมภาษณ์เราคนเดียว เรารู้ว่ามีสี่ห้าคน เราก็ต้องแข่งขัน

ผู้ชายตอบตกลงทันทีไม่รีรอ .. เราประหยัดเงิน ประหยัดกิน ประหยัดใช้ แต่พอถึงเวลาเราต้องจ่าย … จำได้วันนั้นต้องบินไปขอวีซ่าที่มุมไบ เสียค่าตั๋วเครื่องบิน เสียค่าที่พัก เสียค่าแท็กซี่ ไปกลับ ทริปนั้นหมดเกินสองหมื่นห้าพันบาทในคืนเดียว

รวมทั้งต้องขับรถจากบ้านมาสนามบินอีกสี่ชั่วโมงไม่นับรวมค่าน้ำมัน ความเหนื่อยเกินจะบรรยาย ค่าใช้จ่ายรวมหลายๆอย่างทั้งค่าวีซ่า ค่าเดินทาง  และจะได้ไหมก็ไม่รู้ แต่เราลงทุนนำไปแล้ว

พอวีซ่าออก บริษัทให้ตั๋วมาสัมภาษณ์ บินรวมเวลาสองต่อยี่สิบสี่ชั่วโมง มาสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมง มาถึงตอนตีหนึ่ง สัมภาษณ์ตอนเก้าโมง เสร็จออกจากที่ทำงานตอนก่อนเที่ยง ขึ้นเครื่องกลับตอนหกโมงเย็น … ทุกอย่างมาเพื่อให้เค้าเห็นหน้า พูดคุยแบบตัวต่อตัว เป็นยี่สิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายที่เราทำให้เต็มที่

และเราก็ได้งานนี้ มันคุ้มกับความเหนื่อย บินมายุโรปแค่คืนเดียว มีอยู่จริง คือ บ้านเรานี่แหละ บินมาถึงตีหนึ่งทำธุระเสร็จกลับเลย ไม่มีแวะเที่ยว เหนื่อยสุดๆ เราจองที่พักเอง บริษัทให้แค่ตั๋วเครื่องบิน แต่สิ่งที่เรามา คือ เราโชว์ความพร้อม

ผู้ชายบอกว่า แปดสิบเปอร์เซ็นต์เราอาจจะนำหน้าคนอื่น แต่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ใช่ว่าเราจะมั่นใจ ดังนั้นเมื่อบริษัทถามว่าเราสะดวกมาไหม สำหรับผมคือ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้คาดคิด ค่าวีซ่า ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ทุกอย่างไม่รู้จะได้ไหม วีซ่าก็แพงนั่นก็ไม่รู้จะผ่านไหม แต่ทุกอย่างมันคือการโชว์ความพร้อม มันแสดงว่าเราพร้อม ถ้าเราเลือกตอบไม่สะดวกในวันนั้น พลอยศรีก็ไม่รู้วันนี้จะนั่งบันทึกอยู่ที่ไหน

พอมาพูดถึงเด็กลูกคนรู้จัก เรื่องนี้ก็เข้ามาในหัวทุกที เราคนละวัย เราเลยอาจจะคิดแบบคนรุ่นเก่า ทำอะไรเอาตัวไปเสนอหน้าก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน แต่เราสละทุกอย่างให้เต็มที่และจะได้ไม่เสียใจ เพราะเราเต็มที่กับมันแล้ว

เรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะสรุปอย่างไร แต่เราก็มีตัวอย่าง มีบทเรียนให้ได้เรียนรู้ ได้พบเห็น และมีการพูดคุยกันเหมือนเป็นประสบการณ์ชีวิตนะ แต่ละคนมีวิถีชีวิตที่แตกต่าง อยู่ที่ความสามารถและการต่อสู้ดิ้นรนมากน้อย ผลลัพธ์ก็มีขนาดเท่าความพยายาม ความสำเร็จมักต้องพบเจอเส้นทางที่ขรุขระบ้างเสมอ

สุขใจ ยิ้มกว้าง สวัสดีค่ะ

Leave a comment